ที่เที่ยวญี่ปุ่น สวยๆ มีมากมายหลายที่ ซึ่งแต่ละที่ก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ใครที่แพลนเที่ยวอยู่ ตามมาอัปเดต 5 สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่ไหนที่ต้องห้ามพลาดกันค่ะ ไปเช็คอินญี่ปุ่นกันคราวนี้จะได้มีอะไรให้ได้เที่ยว ได้ประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ กลับมา นอกจากเมืองหลักๆ อย่าง เกียวโต โอซาก้า โตเกียว หรือ เทศกาลต่างๆ อย่าง ซากุระบาน ใบไม้เปลี่ยนสี และอื่นๆ ญี่ปุ่นยังมีที่เที่ยวน่าสนใจอีกมากเลยค่ะ
1. Kawachi Fuji Garden ฟุกุโอกะ
2. Nachi Falls วากายามะ
5. Motonosumi Inari Shire ยามากุจิ
ธุรกิจโรงแรม สายการบิน รถไฟ ร้านค้าต่าง ๆ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปิดพรมแดนเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด ค่าเงินเยนที่อ่อนลงอย่างมากทำให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวญี่ปุ่นในราคาที่ถูกลง ธุรกิจภาคบริการต่าง ๆ จึงมีโอกาสฟื้นตัวจากการเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยว
แต่ทว่ามีกลุ่มคนที่กำลังเผชิญผลกระทบอย่างหนัก นั่นก็คือ เกษตรกร เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างมาก ทำให้วัตถุดิบที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมีราคาแพงขึ้น ทั้งก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ปุ๋ย ข้าวสาลี และอาหารสัตว์ เฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมา ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นราว 30% ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าปุ๋ย ค่าอาหารสัตว์ รวมทั้งค่าน้ำมันที่ใช้ในการขนส่ง แต่ว่าราคาขายของพืชผลการเกษตร เช่น ไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อวัว กลับแทบจะไม่เพิ่มราคาเลย บรรดาเกษตรกรจึง “ยิ่งทำยิ่งจน”
ฟาร์มเกษตรใน อำเภอมูระโอกะ เขตมิกาตะจังหวัดเฮียวโงะ อยู่ท่ามกลางภูมิเขาที่เขียวขจี มีแม่น้ำโอบล้อม และเป็นแหล่งผลิตพืชผลหลายอย่างทั้ง มันหวาน พริกหยวก ถั่วแระญี่ปุ่น ถั่วแดง ถั่วเหลืองที่นำมาทำเป็น “มิโสะ” หรือเต้าเจี้ยว ที่เป็นของขึ้นชื่อในท้องถิ่น
แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน ภาคชนบทของญี่ปุ่นถูกทอดทิ้ง งานเกษตรไม่มีใครอยากทำ ยิ่งเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซา และค่าเงินเยนที่ลดลงไม่หยุด เกษตรกรจึงยากลำบากแทบจะล้มละลาย วัวที่เลี้ยงไว้มากกว่า 150 ตัวต้องทยอยถูกขายไป แต่ชาวบ้านที่นี่ก็ไม่คิดจะละทิ้งอาชีพและถิ่นฐานบ้านเกิด
นอกจากนี้ ยังจัดพื้นที่ฟาร์มที่ให้นักท่องเที่ยวมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามามรถสัมผัสวิถีการเกษตร เก็บผักผลไม้สดๆ ตกปลาในลำธาร ตั้งแคมป์ ย่างบาร์บีคิว พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ พื้นที่ 55,000 ตารางเมตรโอบล้อมด้วยขุนเขา ลำธาร พื้นที่การเกษตร เสียงนกและแมลง ดวงดาวเต็มท้องฟ้าในยามกลางคืน จนลืมเวลาที่ยุ่งเหยิงในชีวิต
นักท่องเที่ยวสามารถพักผ่อนสบายๆ หรือจะร่วมกิจกรรมเก็บพืชผล เช่น พริกเขียว ข้าวโพด มะเขือยาว มันฝรั่ง หัวหอม แตงกวา มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ถั่วเหลือง ไชเท้า ผักกาดขาว ฯลฯ พืชผลที่เก็บได้จะนำมาทำเป็นอาหารสุดอร่อย
ในพื้นที่แคมป์ปิงมีห้องน้ำที่สะอาด น้ำอาบน้ำ ห้องซาว์นา และพื้นที่ครัวที่สะดวกสบาย ส่วนในบริเวณใกล้เคียงก็มีร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และยังสามารถขับรถไปยังสกีรีสอร์ท และเล่นน้ำทะเลที่ชายหาดได้ในระยะเวลาเพียงแค่ราว 20 นาที
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถช่วยเหลือเกษตรกรโดยอุดหนุนพืชผลการเกษตร โดยเฉพาะ เต้าเจี้ยว “มิโสะ” และ ข้าวพันธุ์ “โคชิฮิคาริ” ที่ขึ้นชื่อว่าหอมอร่อยที่สุดแห่งหนี่งในญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์การเกษตรเหล่านี้ยังปลอดจากสารปรุงแต่งใด ๆ ให้รสชาติจากธรรมชาติอย่างแท้จริง
ศาลเจ้าเทพอินาริ (伏見稲荷大社, Fushimi Inari Shrine) ที่คนไทยทั้งหลายชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอกเป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto) นั่งเองล่ะค่ะ ถ้าจะพูดว่าศาลเจ้าแห่งนี้ฮอตฮิตมากที่สุดก็ไม่ผิดเลยนะคะ เห็นได้จากโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ต่างๆจะต้องมีภาพของที่นี่ให้เห็นอยู่เสมอ ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต(Kyoto) มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะเห็นรูปปั้นจิ้งจอกอยู่จำนวนมากภายในศาลเจ้านั่นเอง
ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีกนะคะ คาดกันว่าจะเป็นช่วงประมาณปีค.ศ. 794 หรือกว่าพันปีมาแล้ว นอกจากจะมีไฮไลท์อยู่ที่เสาประตูสีแดงแล้วนั้นตัวอาคารศาลเจ้าเองก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้ง Romon Gate ทางด้านหน้า และตัวอาคารหลักที่เรียกว่า Honden และยังมีส่วนประกอบศาลเจ้าที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง กระจายกันอยู่รอบๆบริเวณ และทางด้านหลังศาลเจ้าจะเป็นทางเดินขึ้นเขา ที่ปกคลุมไปด้วยเสาโทริอิ โดยเสาโทริอิสีแดงนั้นก็ล้วนมาจากการบริจาคจากส่วนต่างๆทั้งจากบุคคลและองค์กรเลยน่ะค่ะ สามารถสังเกตเห็นได้จากตัวหนังสือข้างหลังเสา โดยราคาเริ่มจากไม่กี่ร้อยเยนสำหรับเสาต้นเล็กๆ ไปจนถึงหลายล้านเยนสำหรับเสาต้นใหญ่ๆ
ไม่เพียงแค่ส่วนหลักๆที่น่าสนใจเท่านั้นนะคะระหว่างทางยังจะได้เห็นศาลเจ้าเล็กๆอยู่ตลอดทาง แม้กระทั่งเสาโทริอิแดงเล็กๆก็มีให้เห็นกันด้วยซึ่งก็มาจากคนทั่วไปที่แหล่ะค่ะที่จะบริจาคเล็กๆน้อยๆ นอกจากนั้นถ้าเหนื่อยแล้วก็ยังมีร้านอาคารท้องถิ่นและร้านขนมที่ขายอาหารแบบชุด แต่มีความพิเศษอยู่ตรงที่จะมีการตั้งชื่อให้เข้าธีมจิ้งจอกอย่างซูชิจิ้งจอกหรืออูด้งจิ้งจอก ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมายังมักจะนิยมเดินเที่ยวชมภูเขาอินาริแค่ถึงจุดชมวิวที่เรียกว่า ทางแยกโยซึซึจิ(Yotsutsuji intersection) เพื่อสามารถชมวิวเมืองเกียวโตงามๆและสูดอากาศสดชื่นได้เต็มปอดไปพร้อมๆกัน เพราะถ้าจะเดินให้ทั่วทั้งภูเขาแล้วเนี่ยอาจจะต้องใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว
จังหวัดทตโตริ(Tottori) นับเป็นจังหวัดนอกสายตาที่น่าเที่ยวไม่เป็นสองใคร ด้วยความที่ครบเครื่องทั้งธรรมชาติที่มีทั้งภูเขาไดเซ็นอันเลื่องชื่อ มีเนินทรายชื่อดังระดับประเทศ การเป็นจังหวัดที่จับปูได้มากที่สุดของญี่ปุ่น รวมทั้งยังมีลูกแพร์สายพันธุ์ท้องถิ่นที่ใครได้ชิมต้องหลงรักไปตามๆกัน เรียกได้ว่าแม้จะเป็นจังหวัดเล็กๆไม่ดังมากแต่มีเสน่ห์มากอย่าบอกใครเชียวล่ะค่ะ โดยครั้งนี้เราจะพาไปปักหมุดกับ ที่เที่ยวน่าไปของเมืองทตโตริ” ที่ถ้ามาแล้วพลาดไม่ได้เด็ดๆ จะมีที่ไหนบ้างนั้นตามให้ไวเลย
เนินทรายทตโตริตั้งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติซานินไคกัน เนินทรายที่ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์การท่องเที่ยวของทตโตริที่ไม่มาไม่ได้แล้ว ทั้งความอลังการงานทรายที่สูงถึง 50 เมตร และความกว้างถึง 2 กิโลเมตร บวกกับความเก่าแก่ที่ว่ากันว่าเกิดขึ้นมานานมากกว่าพันปีเลยครับ มาแล้วไม่ได้มีแค่ให้เดินชมอย่างเดียว เพราะเขากิจกรรมทำให้สนุกๆทั้ง กระดานทราย หรือถ้าอยากอินกับความทรายก็สามารถขี่อูฐเดินบนเนินทรายชิลๆ เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กจุดสำคัญของทตโตริที่ไม่มานี่พลาดอย่างแรงเลยครับ
เวลาทำการของศูนย์บริการนักท่องเที่ยว :
เดือนมีนาคม-เดือนพฤศจิกายน ตั้งแต่เวลา 9:30-16:30 น.
และเดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 10:00-16:00 น.
วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji) หรือ วัดทอง (Golden Pavilion) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของเกียวโตที่ต้องห้ามพลาดเลยค่ะ อีกทั้งยังเป็นสถานที่เก่าแก่มากๆ แห่งหนึ่งของญีปุ่นอีกด้วย ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1994
ความสวยงามของปราสาททองคำซึ่งตระหง่านกลางสระน้ำ เป็นภาพความสวยงามที่น่าประทับใจอย่างมาก อีกจุดเด่นก็คือ บนหลังคามี รูปหล่อนกฟีนิกซ์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์มงคล ทำจากสำริดคล้ายกับวิหารทองที่งดงาม ใครที่มาเที่ยวเกียวโตแล้ว ต้องไม่พลาดแวะมาวัดคินคะคุจิแห่งนี้
ใครที่ชอบการท่องเที่ยวตามสถานที่ประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องไม่พลาดการไปเยือนพระราชวังอิมพีเรียลสักครั้ง ที่นี่มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “พระราชวังเอโดะ” ซึ่งแต่เดิมเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นในอดีต ถ้าหากจะเจาะให้ลึกขึ้น แต่เดิมที่ตรงนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แต่ด้วยทำเลที่ดีเลยกลายเป็นสถานที่ประชุมลับ เป็นฐานทัพ และกลายเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหารก่อนที่จะเข้าสู่ยุคเมจิ ที่มีการปฏิวัติการปกครองแบบโชกุนให้กลายมาเป็นระบบจักรพรรดิแทน และได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ตรงนี้ให้กลายเป็นพระราชวังแห่งนี้นี่เอง ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้จะไม่ได้เป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิแล้ว แต่ก็กลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังถูกเก็บไว้อย่างดี มีการเปิดให้คนนอกเข้าชมเป็นบางจุด และสามารถเข้าชมได้ทุกจุดเป็นบางวาระ ก็สามารถไปเยี่ยมชมและท่องเที่ยวภายในกันได้
น้ำตก Nachi เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สูงถึง 133 เมตร ลึก 10 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของ Sacred Site and Pilgrimage Routes in the Kii Moutain Range ซึ่งเป็นมรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก้ คำยกย่องยาวเหยียดขนาดนี้ ไม่ควรพลาดที่จะได้ชมวิวเจดีย์สามชั้นขนาบคู่กับน้ำตกที่สวยงาม ด้วยประการทั้งปวง
หลายคนรีวิวว่า บางทีไปก็ฟ้าไม่เปิด หรือน้ำตกน้ำไม่เยอะ อันนี้ก็ต้องทำพิธีกรรมสวดมนต์หรือขอพรก่อนไปด้วย อย่างแอดนี่ทำบุญเก้าวัดก่อนมา ผลบุญเลยทำให้เห็นทุกอย่างชัดเจน น้ำตกก็ไหลไม่สะดุด ฟินจริงๆ
🚗วิธีการเดินทาง
📍พิกัด: Nachisan, Nachikatsuura Town
ชึ้นรถบัส Kumano Kotsu Bus จากสถานี JR Shingu Station ลงป้าย “Taki-mae”การเดินทางไปน้ำตก Nachi มีหลายแบบ ทรหดสุดคือเดิน! ซึ่งมีคนนิยมเดินแสวงบุญไปยังน้ำตกนี้จำนวนมาก
เช่าชุดได้ที่ร้านน้ำชา Diamon-Zakachaya เป็นร้านเล็กๆที่มีคุณยายน่ารักรอต้อนรับอยู่ ค่าเช่าเพียง 2,000 เยน แต่ชุดคือใส่ยากมาก พิถีพิถันในการใส่สุดๆ เพราะเป็นผ้าผืนขนาดใหญ่ และต้องจีบ พับ ม้วน ผูก ให้เข้ากับสรีระ กว่าจะใส่เสร็จ ก็รู้สึกได้ว่าคุณยายแอบหอบ เกินราคา 2,000 เยนไปมากๆ
ช่วงฤดูใบไม้ผลิคงไม่มีความงดงามใดเกินหน้าเกินตาเหล่ามวลบุปผาและดอกไม้นานาพันธุ์ ที่กำลังออกดอกเผยความงามเบ่งบานอวดสายตาเหล่านักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นเองและจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งดอกบ๊วยและดอกสึบากิ (ดอกคามิเลีย) ที่เผยความงามก่อนหน้านี้ไปบ้างแล้ว ดอกซากุระอันโด่งดังก็ได้รับการพยากรณ์ว่าจะเริ่มผลิดอกช่วงประมาณกลางเดือนมีนาคมนี้ ไล่ขึ้นไปตั้งแต่โอกินาว่าทางใต้จรดเกาะฮอกไกโดทางเหนือ
และอีกหนึ่งความงดงามที่กำลังเบ่งบานไล่เลี่ยกันอย่างดอกวิสทีเรีย (Wisteria) หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่าดอกฟูจิ โดยเฉพาะที่ คาวาจิ ฟูจิ การ์เด้น (Kawachi Fuji Garden) เมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) จ.ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ภายในสวนแห่งนี้มีดอกวิสทีเรียมากกว่า 22 สายพันธุ์ พร้อมบานสะพรั่งเต็มพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร
ความจริงแล้วสวนแห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ซึ่งต้องขอบคุณทางเจ้าของสวนใจดี ที่เปิดประตูให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมความงาม (แต่เก็บเงินนะ) สำหรับปีนี้ กำหนดการการเยี่ยมชวนสวน Kawachi Fuji Garden ได้ประกาศออกมาแล้วคือระหว่างวันที่ 21 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2561 เริ่มจำหน่ายบัตรเข้าชมในวันที่ 15 มีนาคมนี้ ซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อ (7 Eleven กับ Family Mart ทุกสาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น) โดยราคาค่าบัตรขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความงามบานสะพรั่งของดอกวิสทีเรียในวันนั้นๆ (ราคาประมาณ 500- 1,500 เยน)
“แม่น้ำชิมันโตะ (Shimanto River)” ในจังหวัดโคชิ (Kochi) เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคชิโกะคุ (Shikoku) มีความยาวทั้งสิ้นเกือบ 190 กิโลเมตร และเนื่องจากสายน้ำแห่งนี้ใสสะอาดราวกับกระจก จึงอุดมสมบูรณ์ด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆมากมาย และงดงามด้วยทัศนียภาพสวยงามของท้องทุ่งชนบท โดยในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมิถุนายน – สิงหาคม บริเวณรอบๆ แม่น้ำแห่งนี้ยังมีกิจกรรมทางน้ำมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกกัน เช่น พายเรือแคนู ล่องแก่ง ปั่นจักรยาน หรือ ล่องเรือชมแม่น้ำได้อีกด้วย
แม่น้ำที่มีความยาวกว่า 190 กิโลเมตร เรียกว่ายาวมากที่สุดในภูมิภาคชิโกกุเลยนะ แต่ชื่อเสียงของมันไม่ได้มีแค่ความยาวเท่านั้น
เพราะแม่น้ำชิมันโตะยังได้รับการขนานนามว่าใสและสะอาดมากๆ เป็นแหล่งน้ำจากธรรมชาติท่ามกลางทัศนีย์ภาพที่โอบล้อมด้วยภูเขาและอากาศบริสุทธิ์
แหล่งที่อยู่อาศัยบริเวณรอบๆ นั้น ผู้คนต่างรักษาความสะอาด เป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติและแม่น้ำ ทำให้แหล่งน้ำที่นี่ยังใสสะอาดอยู่
ไม่ใช่แค่เดินชมได้แค่อย่างเดียว แต่ที่แม่น้ำชิมันโตะมีกิจกรรมที่สามารถทำได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น พายเรือแคนนู ล่องแก่ง ปั่นจักรยานชมวิวโดยรอบ เพราะที่นี่มีสะพานชินกะ (Chinka bridge) หรือสะพานที่ไม่มีราวกั้น พาดระหว่างสองฝั่งแม่น้ำให้คุณสามารถเดินข้ามไปมาหรือปั่นจักรยาน ชมความใสสะอาดและธรรมชาติรอบๆ แม่น้ำได้
จังหวัดชิกะ (ญี่ปุ่น: 滋賀県 โรมาจิ: Shiga-ken) เป็นจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคคันไซ มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองโอตสึ มีขนาดพื้นที่ทั้งสิ้น 4,017.36 ตารางกิโลเมตร ในสมัยก่อน ชิงะ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ มณฑลโอมิ (ญี่ปุ่น: 近江国 โรมาจิ: Ōmi no kuni) หรือโกชู (ญี่ปุ่น: 江州 โรมาจิ: Gōshū) ก่อนที่จะมีการใช้ระบบการบริหารราชการแบบแบ่งจังหวัดขึ้น มณฑลโอมิเป็นเพื่อนบ้านกับนาระ และเกียวโต เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างญี่ปุ่นตะวันตกและตะวันออก ในช่วง ค.ศ. 667 ถึง ค.ศ. 672 นั้น จักรพรรดิเท็นจิทรงสร้างพระราชวังที่โอตสึ จากนั้น ในปี ค.ศ.742 จักรพรรดิโชมุทรงสร้างพระราชวังที่ชิงารากิ ในช่วงต้นของยุคเฮอัง พระภิกษุไชโชเติบโตขึ้นที่โอตสึและได้สร้างวัดเอ็นเรียกุซึ่งเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบเท็นได และได้ปัจจุบันได้เป็นหนึ่งในมรดกโลกพร้อมกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่งในเกียวโต
พื้นที่ 1 ใน 6 ของจังหวัดชิกะ มีทะเลสาบ Biwa ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และรอบ ๆ ทะเลสาปนั้นคือภูเขาลูกใหญ่หลายลูกที่มีต้นไม้เขียวขจีปกคลุมอยู่ ยิ่งถ้าช่วงใบไม่เปลี่ยนสี ภูเขาทุกลูกก็จะมีสีแดงสลับเหลืองของใบเมเปิ้ล เป็นภาพที่สวยงามเกินจะบรรยาย เรียกได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากๆเลยล่ะ
นอกจากการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแล้ว คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้ง พร้อมทั้งทำกิจกรรมสนุก ๆ ในจังหวัดชิกะแห่งนี้ได้ด้วย ! ไปดูกันเลย
วัดเอนรยาคุจิ (Enryakuji Temple) ตั้งอยู่ในเทือกเขา Hiezan บริเวณระหว่างชายแดนของจังหวัดเกียวโตและจังหวัดชิกะ ก่อตั้งโดยพระรูปหนึ่งซึ่งมีนามว่า Dengyodaishi Saicho เป็นสถานที่ซึ่งมีเหล่าพระสงฆ์ระดับปรมจารย์มากมาย และยังเป็นที่ให้กำเนิดนิกายต่าง ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความขลัง และน่าศรัทธามาก ๆ
ภายในวัดมีอาณาเขตกว้างขวาง เมื่อมองลงไปจากบริเวณวัดจะสามารถมองเห็นตัวเมืองเกียวโตและทะเลสาบบิวะได้อีกด้วย หากจะเดินชมให้ทั่วทั้งบริเวณของวัด อาจต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงเลยล่ะ
จุดท่องเที่ยวภายในวัดจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ด้านทิศตะวันออก (Toudou) ด้านทิศตะวันตก (Saidou) และด้าน Yokawa ซึ่งประกอบไปด้วยโบสถ์วิหารจำนวน 16 แห่ง และโบสถ์วิหารจำนวนมากยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าเนินเขาทางทิศตะวันตกของเมืองโคคะ (Koka) ถูกก่อตั้งและออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง Koyama Mihoko ใครที่ชอบเสพงานศิลป์ และสถาปัตยกรรม ขอบอกว่าห้ามพลาด
เพราะโครงสร้างและการออกแบบของอาคารที่สุดโดดเด่นท่ามกลางป่าเขียวขจี นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ! เพราะมีอุโมงค์ขนาดใหญ่และยาวที่ตัดลอดภูเขา มองเห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านวิวทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า รวมถึงดอกซากุระสีชมพูสดใสที่รอต้อนรับคุณอยู่ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยล่ะ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รวบรวมของสะสมโบราณทางศิลปะรวมไปถึงของชาวอียิปต์ โรมัน และวัฒนธรรมเอเชียอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของสะสมส่วนตัวของคุณ Koyama อีกด้วย และจะมีการจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี