Tag Archive ท่องเที่ยวญี่ปุ่น

5 เมืองแดนปลาดิบ ที่น่าเที่ยวที่สุด The Best Of Japan

5 เมืองแดนปลาดิบ ที่น่าเที่ยวที่สุด The Best Of Japan

วันนี้จะพาไปทำความรู้จักสถานที่ ที่นักเดินทางชาวไทยนิยมไป ว่าแล้วคงหนีไม่พ้น ญี่ปุ่น ประเทศที่มีความสวยงามทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม ท่องเที่ยวญี่ปุ่น สามารถทำได้ทั้งปี จะไปชมดอกไม้หรือไปร่วมงานเทศกาลท้องถิ่นหรือจะเป็นเมนูอาหารที่ขึ้นชื่อของของญี่ปุ่น ที่ทุกๆคนเรียกกันแดนปลาดิบต้องยกให้ญี่ปุ่นเป็นที่หนึ่ง แน่นอนคะ

5 เมืองน่าเที่ยวสำหรับทัวร์ญี่ปุ่น

โตเกียว

เมืองยอดฮิตที่ติดท็อปรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นเสมอมา ได้ฉายาว่า “อีสต์ มีท เวสต์” (East meets West) หมายถึง การมาบรรจบกันของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก เพราะนอกจากคุณจะได้ชมบ้านเมืองที่ยังคงด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้ว คุณก็ยังจะได้สัมผัสเทคโนโลยีล่าสุดของโลก และแฟชั่นแบบตะวันตกในสไตล์ญี่ปุ่น ฮาราจุกุในโตเกียวก็เปรียบได้กับถนนเมดิสัน แห่งมหานครนิวยอร์ค นั่นเอง จัดเป็นสุดยอดสถานที่เที่ยวญี่ปุ่นด้านช้อปปิ้งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวเอเชียรวมทั้งไทยเราเป็นจำนวนล้นหลามทีเดียว
โตเกียวสามารถ เที่ยวได้ตลอดปี ฤดูชมซากุระเมืองนี้จะอยู่ราวกลางเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน และช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีจะอยู่ราวเดือนพฤศจิกายน

เกียวโต


สำหรับคนที่ชื่นชมศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น ทั้งวัดโบราณที่ทำให้คุณเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อเกือบพันปีก่อนในย่างก้าวแรกที่เดินเข้าไป และเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจเลยหากคุณจะเดินสวนกับเกอิชาในชุดกิโมโนบนถนนใจกลางเมือง และการเข้าร่วมพิธีชงชาญี่ปุ่นแบบโบราณ ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพลาดสำหรับการไปเยือนเกียวโต
ช่วงเวลาที่น่าไปเที่ยวเมืองเกียวโตมากที่สุด คือ ฤดูใบไม้ผลิราวเดือนมีนาคมและฤดูใบไม้ร่วงราวเดือนตุลาคม ทั้งนี้ในช่วงเดือนเมษายนก็จะเป็นช่วงเทศกาลใหญ่ประจำปี เทศกาลมิยาโกะ

โอซาก้า


เมืองที่ใหญ่อันดับสองของประเทศ นอกจากจะเป็นเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศแล้ว ยังขึ้นชื่อด้านอาหารในราคาย่อมเยา เพราะไม่ว่าจะมุมไหนของเมือง คุณก็สามารถหาร้านอาหารรสชาติเป็นเลิศ แต่ราคาสบายกระเป๋าได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ปราสาทโอซาก้า, ยูนิเวิร์ลซัล สตูดิโอแห่งญี่ปุ่น และสวนลอยน้ำโอซาก้านั้นเที่ยวได้ตลอดปี ฤดูชมซากุระเมืองนี้จะอยู่ราวกลางเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน

ฟุกุโอกะ

ใครรักอาหารทะเลคงต้องชอบฟุกุโอกะ นอกจากนี้ยังเป็นบ้านเกิดของบะหมี่ราเม็งอันลือชื่อของญี่ปุ่น ฉะนั้นรับรองว่าหากไปเยือนฟุกุโอกะ คุณจะไม่มีทางพลาดการชิมราเม็ง เพราะร้านบะหมี่ข้างทางถือเป็นร้านอาหารยอดนิยม ไม่ต่างจากรถขายไส้กรอกในอเมริกา หรือแผงขายส้มตำบ้านเรา นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีคุณภาพการใช้ชีวิตสูง ถึงกับได้ฉายาว่าเป็นเมืองที่รีเล็กซ์ หรือเครียดน้อยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ฤดูกาลท่องเที่ยวของฟุกุโอกะ จะอยู่ราวเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลโกลเด้นวีคและในช่วงเดือนกันยายน-เดือนตุลาคมก็เป็นช่วงที่อากาศกำลังสบายน่าไปเที่ยวอีกช่วงหนึ่ง

นารา

เมืองแห่งกวางหรือเมืองนารา ทุกหนแห่งที่คุณเดินทางคุณจะพบเห็นกลุ่มกวางอันเป็นมิตรกับผู้คน นอกจากนี้นารายังถือเป็นแหล่งกำเนิดของขนบธรรมเนียมสำคัญๆ ของชาวญี่ปุ่น เมืองนารานี้มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น พระพุทธรูปไดบุทสึ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดของโลก วัดโฮริวจิ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกและได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกับวัดโทไดจิวัดเก่าแก่ที่สุดของเมือง
เมืองนาราสามารถเที่ยวได้ตลอดปี ฤดูชมซากุระเมืองนี้จะอยู่ราวกลางเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน และช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่ราวเดือนตุลาคม-ต้นเดือนธันวาคม

จังหวัดชิกะ Shiga

จังหวัดชิกะ Shiga

จังหวัดเล็กๆ บรรยากาศชิลล์ๆ จังหวัด ชิกะ (Shiga) หนึ่งใน จังหวัดของภูมิภาคคันไซ ที่ถึงแม้ไม่ค่อยคุ้นหูนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า จังหวัดนี้อยู่ห่างจากเกียวโตแค่ปลายนิ้ว เพียงแค่นั่งรถไฟ JR Tokaido-Sanyo Line จากสถานีเกียวโต เพียง 9 นาที ก็ถึงสถานี Otsu เมืองหลักของชิกะแล้ว

จังหวัดชิกะ (ญี่ปุ่น: 滋賀県 โรมาจิ: Shiga-ken) เป็นจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคคันไซ มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองโอตสึ มีขนาดพื้นที่ทั้งสิ้น 4,017.36 ตารางกิโลเมตร ในสมัยก่อน ชิงะ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ มณฑลโอมิ (ญี่ปุ่น: 近江国 โรมาจิ: Ōmi no kuni) หรือโกชู (ญี่ปุ่น: 江州 โรมาจิ: Gōshū) ก่อนที่จะมีการใช้ระบบการบริหารราชการแบบแบ่งจังหวัดขึ้น มณฑลโอมิเป็นเพื่อนบ้านกับนาระ และเกียวโต เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างญี่ปุ่นตะวันตกและตะวันออก ในช่วง ค.ศ. 667 ถึง ค.ศ. 672 นั้น จักรพรรดิเท็นจิทรงสร้างพระราชวังที่โอตสึ จากนั้น ในปี ค.ศ.742 จักรพรรดิโชมุทรงสร้างพระราชวังที่ชิงารากิ ในช่วงต้นของยุคเฮอัง พระภิกษุไชโชเติบโตขึ้นที่โอตสึและได้สร้างวัดเอ็นเรียกุซึ่งเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบเท็นได และได้ปัจจุบันได้เป็นหนึ่งในมรดกโลกพร้อมกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่งในเกียวโต

พื้นที่ 1 ใน 6 ของจังหวัดชิกะ มีทะเลสาบ Biwa ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และรอบ ๆ ทะเลสาปนั้นคือภูเขาลูกใหญ่หลายลูกที่มีต้นไม้เขียวขจีปกคลุมอยู่ ยิ่งถ้าช่วงใบไม่เปลี่ยนสี ภูเขาทุกลูกก็จะมีสีแดงสลับเหลืองของใบเมเปิ้ล เป็นภาพที่สวยงามเกินจะบรรยาย เรียกได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากๆเลยล่ะ

นอกจากการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแล้ว คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้ง พร้อมทั้งทำกิจกรรมสนุก ๆ ในจังหวัดชิกะแห่งนี้ได้ด้วย ! ไปดูกันเลย

วัดมรดกโลก Enryakuji Temple

วัดเอนรยาคุจิ (Enryakuji Temple) ตั้งอยู่ในเทือกเขา Hiezan บริเวณระหว่างชายแดนของจังหวัดเกียวโตและจังหวัดชิกะ ก่อตั้งโดยพระรูปหนึ่งซึ่งมีนามว่า Dengyodaishi Saicho เป็นสถานที่ซึ่งมีเหล่าพระสงฆ์ระดับปรมจารย์มากมาย และยังเป็นที่ให้กำเนิดนิกายต่าง ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความขลัง และน่าศรัทธามาก ๆ

ภายในวัดมีอาณาเขตกว้างขวาง เมื่อมองลงไปจากบริเวณวัดจะสามารถมองเห็นตัวเมืองเกียวโตและทะเลสาบบิวะได้อีกด้วย หากจะเดินชมให้ทั่วทั้งบริเวณของวัด อาจต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงเลยล่ะ

จุดท่องเที่ยวภายในวัดจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ด้านทิศตะวันออก (Toudou) ด้านทิศตะวันตก (Saidou) และด้าน Yokawa ซึ่งประกอบไปด้วยโบสถ์วิหารจำนวน 16 แห่ง และโบสถ์วิหารจำนวนมากยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ MIHO MUSEUM

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าเนินเขาทางทิศตะวันตกของเมืองโคคะ (Koka) ถูกก่อตั้งและออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง Koyama Mihoko ใครที่ชอบเสพงานศิลป์ และสถาปัตยกรรม ขอบอกว่าห้ามพลาด

เพราะโครงสร้างและการออกแบบของอาคารที่สุดโดดเด่นท่ามกลางป่าเขียวขจี นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ! เพราะมีอุโมงค์ขนาดใหญ่และยาวที่ตัดลอดภูเขา มองเห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านวิวทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า รวมถึงดอกซากุระสีชมพูสดใสที่รอต้อนรับคุณอยู่ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยล่ะ

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รวบรวมของสะสมโบราณทางศิลปะรวมไปถึงของชาวอียิปต์ โรมัน และวัฒนธรรมเอเชียอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของสะสมส่วนตัวของคุณ Koyama อีกด้วย และจะมีการจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี

ภูมิภาคคันโต(Kanto)

ภูมิภาคคันโต(Kanto)เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงมหานครโตเกียว(Tokyo)เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่และมีระบบการคมนาคมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่โตเกียวเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น มีแหล่งช้อปปิ้งและกินดื่มมากมาย รวมถึงสถานที่ทางศิลปะวัฒนธรรมอย่างเช่น ปราสาท พระราชวัง ศาลเจ้าและวัดดังๆรวมกันอยู่ที่เมืองนี้มากมาย

ภูมิภาคคันโตมีพื้นที่เป็นที่ราบประมาณ 45% ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นเทือกเขา ชายหาดและแม่น้ำทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายนอกเหนือจากเมืองหลวง

ตัวอย่างการท่องเที่ยวง่ายๆ แบบเช้าไปเย็นกลับจากเมืองโตเกียวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ เช่น โยโกฮาม่า(Yokohama)ที่เป็นเมืองท่าในสมัยเปิดประเทศช่วงปลายสมัยเอโดะ, ศาลเจ้าเก่าแก่ที่เป็นมรดกโลกที่นิกโก้(Nikko)เมืองหลวงเก่าติดทะเลคามาคุระ(Kamakura)ซึ่งเจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางทางกลางเมืองและวัฒนธรรมยุคกลางของญี่ปุ่น และเมืองแห่งนํ้าพุร้อนฮาโกเน่(Hakone)ที่มีชื่อเสียงด้านทะเลสาบและวิวภูเขาไฟฟูจิ

พื้นที่ต่างๆใน คันโต(Kanto) – โตเกียว(Tokyo), คานากาว่า(Kanagawa), โทจิงิ(Tochigi), กุนมะ(Gunma), ไซตามะ(Saitama), ชิบะ(Chiba), อิบารากิ(Ibaraki), เกาะอิซุโอชิมะ(Izu Oshima Island), หมู่เกาะโองาซาวาระ(Ogasawara Islands)

ภูมิภาคชุบุ(Chubu)

ภูมิภาคชุบุ(Chubu)มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอยู่มากมายอยู่ติดกับภูมิภาคคันโต(Kanto)และภูมิภาคคันไซ(Kansai)มีเทือกเขาสูงชันทำให้เกิดสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันมากในภูมิภาคนี้ เช่นส่วนที่ติดกับทะเลจะอบอุ่นแต่ในเทือกเขากลับมีหิมะหนาสูง 5 เมตร ประกอบไปด้วย 9 จังหวัดย่อย มีเมืองนาโงยะ(Nagoya)เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค

ภูมิภาคชุบุมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ธรรมชาติ ภูเขา ทะเล ไปจนถึงวัฒนธรรมและเทคโนโลยี สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ เช่น เทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น ที่มีกำแพงหิมะหรือสโนว์วอลหนาสูงถึง 5 เมตร, ปราสาทมัตสึโมโต้ที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม, หมู่บ้านหลังคาโบราณชิราคาวะโกะ, สกีรีสอร์ท, ชายหาด และเมืองออนเซนอีกมากมาย ทำให้ชุบุสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปีเลย

พื้นที่ต่างๆใน ชุบุ(Chubu) – นากาโน่(Nagano), ชิซูโอกะ(Shizuoka), อิชิคาว่า(Ishikawa), ไอจิ(Aichi), กิฟุ(Gifu), โทยาม่า(Toyama), นิอิกะตะ(Niigata), ยามานาชิ(Yamanashi), ฟูคุอิ(Fukui)

ภูมิภาคคันไซ(Kansai)

ภูมิภาคคันไซ(Kansai)เป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญต่อศิลปะและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมานานนับพันปีเพราะเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของญี่ปุ่นในอดีตถึง 2 เมืองคือ นะระ(Nara) และ เกียวโต(Kyoto) และในปัจจุบันยังเป็นที่ตั้งของเมืองโอซาก้า(Osaka)ที่เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ญี่ปุ่นด้วย

ภูมิภาคคันไซประกอบด้วยจังหวัดทั้งหมด 6 จังหวัดมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายและมากมายไม่แพ้ภูมิภาคอื่นๆเลยตั้งแต่ ปราสาทฮิเมจิที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น, ทะเลสาบบิวะโกะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น, แหล่งรวมวัดและศาลเจ้าโบราณและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกที่เมืองเกียวโต รวมถึงสวนสนุกยูนิเวอร์ซัลสตูดิโอ สวนสนุกระดับโลกจากฮอลลีวู้ดที่เมืองโอซาก้า

ของขึ้นชื่อใน คันไซ(Kansai) – ชาอูจิ Uji Tea
พื้นที่ต่างๆใน คันไซ(Kansai) – เกียวโต(Kyoto), โอซาก้า(Osaka), นารา(Nara), เฮียวโงะ(Hyogo), วาคายาม่า(Wakayama), ชิงะ(Shiga), มิเอะ(Mie)

ภูมิภาคชูโกกุ(Chugoku)

ชูโกกุ(Chugoku)

ภูมิภาคชูโกกุ(Chugoku) มีความหมายว่า “ภูมิภาคที่อยู่ตรงกลาง” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะฮอนชู ถัดจากภูมิภาคคันไซ(Kansai) หรือบางคนเรียกว่า West Kansai ในภูมิภาคนี้จะแบ่งออกเป็นฝั่งอุตสาหกรรม เรียกว่า ซันโย(Sanyo) ซึ่งเลียบฝั่งทะเลเซโตะ(Seto Inland Sea coast) และฝั่งชนทบ เรียกว่า ซานิน(Sanin) ซึ่งเลียบฝั่งทะเลญี่ปุ่น แบ่งออกเป็น 5 จังหวัดย่อยๆ ที่ปลายสุดของภูมิภาคชูโกกุจะเป็นจังหวัดยามากูจิซึ่งจะติดกับภูมิภาคคิวชู(Kyushu)ซึ่งเชื่อมต่อกันได้ทั้งทาง รถไฟ ถนน และทางเรือ ทำให้ที่นี่จะเป็นทางผ่านและจุดเชื่อมต่อระหว่างเกาะใหญ่ฮอนชูและคิวชู
แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของชูโกกุบางส่วน เช่น ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ(Itsukushima Shrine), ทะเลทรายเพียงแห่งเดียวของญี่ปุ่นที่ต็อตโตริ (Tottori Sand Dunes), สะพานคินไตเคียว(Kintai-Kyo Bridge), และปราสาทฮิโรชิม่า(Hiroshima Castle)
พื้นที่ต่างๆใน ชูโกกุ(Chugoku) – ฮิโรชิม่า(Hiroshima), ยามากูจิ(Yamaguchi), โอคายาม่า(Okayama), ต็อตโตริ(Tottori), ชิมาเนะ(Shimane)
Kyushu

ภูมิภาคคิวชู(Kyushu )

ภูมิภาคคิวชู(Kyushu )เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะใหญ่ฮอนชู ประกอบไปด้วยเมืองท่าสำคัญๆหลายแห่งที่ใช้ติดต่อ ค้าขายกับชาวจีน และชาวตะวันตกมานานหลายร้อยปี โดยมีเมืองหลวงคือจังหวัดฟูกุโอกะ(Fukuoka)

บนเกาะคิวชูมีแหล่งท่องเที่ยวครบทุกรูปแบบ ทั้ง ภูเขาไฟทั้งที่ยังไม่ดับ, เมืองตากอากาศออนเซนที่มีชื่อเสียง, สวนสนุก, สวนน้ำ, วัด, ศาลเจ้า, ร้านอาหารที่มีชื่อเสียง และยังสามารถท่องเที่ยวได้ครบทุกฤดูกาลด้วย เช่น การชมซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิ, การชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ส่วนหิมะก็มีแต่จะมีน้อยกว่าเกาะใหญ่เล็กน้อยเพราะอยู่ทางตอนล่างของประเทศ และอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคคิวชูน่าสนใจก็คือ ค่าครองชีพของที่นี่ จะถูกกว่าแถบโตเกียวหรือโอซาก้าพอสมควรเลยทีเดียว

Kyushu-on-One-of-a-Kind-Trains

การเดินทางในภูมิภาคนี้ก็ค่อนข้างสะดวกเหมือนกับบนเกาะใหญ่ เพราะมีเครือข่ายรถไฟ JR ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของเกาะ ที่สามารถใช้กับ JR PASS ได้เลย หรือถ้ามาเฉพาะเกาะคิวชูก็ยังมี Kyushu Pass ที่ราคาถูกกว่าด้วย ส่วนเส้นทางระหว่างเมืองก็มีรถไฟความเร็วสูงหรือชินคันเซน(shinkansen) ไว้ให้บริการด้วย และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยออกนอกเส้นทางหลักๆหรือไม่นิยมเที่ยวตามเมือง แต่ชอบเที่ยวธรรมชาติก็สามารถเช่ารถขับเที่ยวไปทั่วๆเกาะได้เลย

พื้นที่ต่างๆใน คิวชู(Kyushu) – ฟูกุโอกะ(Fukuoka), คาโกชิม่า(Kagoshima), คุมาโมโต้(Kumamoto), โออิตะ(Oita), นางาซากิ(Nagasaki), ซากะ(Saga), มิยาซากิ(Miyazaki), เทือกเขาคิริชิม่า(Kirishima)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุราอูมิ

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุราอูมิ

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุราอูมิ(Okinawa Churaumi Aquarium) เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2002 ตั้งอยู่ใน Ocean Expo Park ที่เคยจัดแสดงงานนานาชาติเอ็กซ์โปในปี 1975 ไฮไลท์ของการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้คือแท็งก์น้ำคุโรชิโอะ(Kuroshio Tank) ซึ่งเป็น 1 ในแท็งก์น้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตในทะเลแถบโอกินาว่าที่หลากหลาย สัตว์น้ำที่โดดเด่นที่สุดคือฉลามวาฬยักษ์ และกระเบนราหู

ในอาคารพิพิธภัณฑ์แยกออกไป 3 ชั้น โดยทางเข้าอยู่บนชั้น 3 และทางออกอยู่ที่ชั้น 1 หลังจากที่นักท่องเที่ยวเข้ามาจะพบกับบ่อน้ำที่อนุญาตให้ทดลองสัมผัสปลาดาว และหอยชนิดต่างๆได้ ถัดไปเป็นแท็งก์น้ำที่จัดแสดงโลกของสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง เมื่อเดินผ่านตู้ปลามาแล้วจะเป็นแท็งก์คุโรชิโอะ โดยการให้อาหารสัตว์น้ำจะมีวันละ 2 ครั้ง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้เวลาชม ณ จุดนี้นานที่สุด ด้านข้างแท็งก์เป็นโรงภาพยนตร์ที่ฉายวีดีโอเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทางทะเลของโอกินาว่า

แท็งก์ถัดมาเป็นที่อยู่อาศัยของฉลาม ฉลามเสือ และฉลามวัว ต่อจากนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตในน่านน้ำที่อาศัยลึกลงไปอีก รวมถึงปลาที่เรืองแสงได้ นอกจากนี้ยังมีสระน้ำกลางแจ้งที่ตั้งอยู่ใกล้ริมน้ำซึ่งเป็นที่จัดการแสดงของโลมาแสนรู้ เต่าทะเล และพะยูน ที่จัดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน(ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ต้องตรวจสอบเวลาการแสดงก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์)

ก่อนเวลาปิด 1 ชั่วโมง
วันปิดทำการ: วันพุธแรกของเดือนธันวาคม และวันถัดไป

วิธีการเดินทาง
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นส่วนหนึ่งของ Ocean Expo Park ณ คาบสมุทรโมโทบุ(Motobu Peninsula) ทางทิศเหนือของ Okinawa Honto ห่างจาก Naha ไปประมาณ 90 กิโลเมตร

  • โดยสารรถบัส Yanbaru Express bus

จากสนามบิน Naha Airport โดยสารรถบัส Yanbaru Express bus ไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงกว่า ค่าใช้จ่าย 2,000 เยน ให้บริการ 6 รอบ/วัน

ในตัวเมือง Naha รถบัสจะจอดที่ ศาลากลางจังหวัด ท่าเรือโทมาริ และสถานีรถไฟ Furujima Station(Yurail monorial)

  • โดยสารรถบัสธรรมดา

จาก Naha โดยสาร highway bus หมายเลข 111 ไปลงที่สถานีขนส่ง Nago Bus terminal(จาก Naha bus center 90 นาที 2,100 เยน หรือจาก Naha Airport 105 นาที 2,190 เยน บัสออกชั่วโมงละ 1-2 รอบ) และเปลี่ยนไปนั่งรถบัสหมายเลข 70 ลงที่ Kinen Koen Mae bus stop ซึ่งอยู่หน้า Ocean Expo Park(50 นาที 880 เยน) หรือรถบัสหมายเลข 65/66 บางคันก็จอดที่ Ocean Expo Park เช่นกัน

  • รถยนต์ส่วนตัว

จาก Naha ขับรถมาตามเส้นทาง Okinawa Expressway ไปทางทิศเหนือสุดใกล้ Nago(1,020 เยน) แล้วขับลงถนนธรรมดาตรงข้ามคาบสมุทรโมโทบุ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง

ค่าเดินทางในญี่ปุ่น(โตเกียว) ถูกแพงแค่ไหนเมื่อเทียบกับประเทศไทย

ค่าเดินทางในญี่ปุ่น(โตเกียว) ถูกแพงแค่ไหนเมื่อเทียบกับประเทศไทย

วันนี้มาดูค่าเดินทางในญี่ปุ่นโดยเฉพาะโตเกียวนั้นเมื่อเทียบกับบ้านเราแล้วมีอะไรถูกหรือแพงบ้าง และมีวิธีการเดินทางอะไรที่คนญี่ปุ่นใช้กัน ไปดูกันเลยค่ะ

รถไฟใต้ดิน

1. รถไฟใต้ดิน
รถไฟใต้ดินในโตเกียวมีด้วยกัน 12 สาย โดย 9 สาย เป็นรถไฟที่เราเรียกกันว่า Tokyo Metro ดำเนินการโดยบริษัท Tokyo Metro ส่วนอีก 3 สายที่เหลือเป็นรถไฟบริหารโดยเมืองโตเกียวโดยตรง ทั้ง 12 สายนี้มีสีสันโดดเด่นจำง่ายและมีชื่อสายเฉพาะตัว ที่ดังๆ เช่น สายกินซ่าสีส้ม สายมารุโนะอุจิสีแดง สายฮันโซมงสีม่วง สายฮิบิยะสีเทา สายยูระคุโจสีทอง เป็นต้น การขึ้นรถไฟใต้ดินของแต่ละสายนี้ก็ง่ายดาย และหากเราเดินทางด้วยรถไฟ 9 สายนี้แล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนสายไปมาขนาดไหน ราคาก็จะไม่กระเถิบสูงขึ้นขนาดนั้นเพราะเป็นการเปลี่ยนสายในบริษัทเดียวกัน ในหนึ่งทริป เช่น จากบ้านไปสักที่หนึ่งในโตเกียวด้วยรถไฟใต้ดิน ใกล้ไกลแค่ไหนราคาก็จะอยู่ราวๆ 170-210 เยน หรือราวๆ 70 บาทต่อครั้ง

2. รถไฟสายอื่นๆ (บนดิน)
นอกจากรถไฟใต้ดินแล้ว โตเกียวยังมีรถไฟของบริษัทเอกชนหลายสายให้บริการอีกด้วย ส่วนมากจะเป็นรถไฟที่วิ่งจากใจกลางเมืองไปยังชานเมือง ขนส่งผู้คนจากรอบๆ (ปริมณฑล) เข้ามายังโตเกียว เส้นที่ดังๆ ก็เช่น โตคิว เจ้าของเดียวกับห้างโตคิวที่เรารู้จักกัน และก็มีเส้น โทบุ เซบุ โอดะคิว เคโอ เป็นต้น รถไฟเหล่านี้แทบจะร้อยทั้งร้อยวิ่งบนดินด้วยความที่วิ่งในระยะทางที่ไกลขึ้นมาหน่อย เพราะถ้าให้สร้างใต้ดินทั้งหมดคงแพงใช่เล่น(ให้ลองนึกถึงรถไฟที่วิ่งจากมหาชัย สุพรรณบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทราหรือมีนบุรีวิ่งเข้ากรุงเทพฯ)

ในช่วงเช้า รถไฟสายเอกชนเหล่านี้ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องความแน่น นั่นก็เพราะทุกคนที่ขึ้นรถไฟมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือขึ้นมาลงปลายทางในเมือง สถานีระหว่างทางจึงไม่ค่อยมีคนลง ภาพที่เราเห็นเป็นปลากระป๋องบางทีก็มาจากรถไฟสายเหล่านี้นี่แหละครับ ส่วนราคาก็อยู่ตั้งแต่ประมาณ 70 กว่าบาทไปถึงหลัก 2-3 ร้อยบาทแล้วแต่ระยะทางที่รถวิ่งครับ บางสายที่มีระยะทางยาวมากๆ อาจมีเบาะพิเศษให้นั่ง (เช่นรถที่ชื่อขบวน GREEN CAR) ซึ่งเราก็ต้องจ่ายค่าเบาะเพิ่ม ราคาก็ตกอยู่หัวละเพิ่มคนละ 1000 เยน หรือ 350 บาท ได้ครับ

3.รถเมล์ระยะใกล้
การเดินทางที่สะดวกสบายมากๆ ในโตเกียวอีกวิธีหนึ่งคือการขึ้นรถประจำทางครับ ในโตเกียวส่วนมากจ่ายเงินตอนขึ้นครับ นั่นหมายถึงราคาเดียวตลอดทาง แม้ในจังหวัดอื่นๆ อาจมีระบบจ่ายเงินตอนลงและคิดเงินตามระยะทางที่นั่งก็ตาม

ความดีงามของรถเมล์ในโตเกียวคือค่อนข้างกำหนดระยะเวลาแน่นอนตามตารางได้ คนขับสุภาพ ปลอดภัย เหมาะกับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และเด็กๆ โดยเฉพาะหากจะเดินทางระยะใกล้ๆ แถวบ้านไปยังสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด รถเมล์เป็นอะไรที่แนะนำมากๆ ครับ ราคาต่อคนของรถเมล์ในโตเกียวส่วนใหญ่ก็เป็นแบบจ่ายทีเดียวจบ คนละ 210 เยน หรือราวๆ 70 กว่าบาท ครับ

4.แท็กซี่ระยะทางใกล้ๆ ในเมือง
ในโตเกียว รถแท็กซี่ราคามิเตอร์เริ่มต้นที่ 710 เยน หรือประมาณ 250 บาท ทุกๆ ครั้งที่มิเตอร์ขึ้น จะขึ้นทีละ 90 เยนหรือ 30 บาท พูดง่ายๆ คือถ้านั่งประมาณสัก 1-2 สถานีรถไฟ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 2000 เยน หรือ 700 บาท เบาๆ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน เช่นหลัง 4 ทุ่ม เป็นต้นไป ราคามิเตอร์ก็จะแพงขึ้นอีก นั่นคือมิเตอร์จะเดินเร็วขึ้นประมาณ 20% ดังนั้น ถ้าจะขึ้นแท็กซี่ต้องคิดให้ดีก่อนเพราะไม่เช่นนั้นอาจล้มละลายได้ถ้านั่งระยะทางไกล หากไม่ทันรถไฟขบวนสุดท้ายจริงๆ คนญี่ปุ่นมีทางเลือกอื่นนอกจากขึ้นแท็กซี่คือไปหาเน็ตคาเฟ่นอนรอจนเช้า หรือไม่ก็ไปพวก DVD box หรือร้านคาราโอเกะแทน

5. จากในเมืองไปสนามบินด้วยรถไฟ
จากในเมืองโตเกียวเดินทางไปสนามบินมีหลายวิธีด้วยกัน หลักๆ คือ รถไฟ และ รถลิมูซีนบัส โดยเฉพาะไปสนามบินนาริตะ ซึ่งห่างออกไปราวๆ 70-80 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 นาที หากใช้รถไฟ ออกเดินทางจากชินจุกุ เป็นรถด่วนพิเศษที่ชื่อว่า JR Narita Express ราคาประมาณ 3000 เยน หรือราวๆ 1000 บาท รถลิมูซีนบัสก็ราคาเท่ากันครับ

ซึ่งนอกจากรถไฟของ JR ที่ให้บริการรถด่วนไปยังสนามบินนาริตะแล้ว ยังมีของอีกเจ้าหนึ่งให้บริการรถด่วนไปนาริตะเช่นเดียวกัน นั่นก็คือรถด่วนที่ชื่อว่า ที่ถูกกว่านิดนึงเพราะว่ารถไฟเส้นนี้จะมาจอดที่อุเอะโนะ ซึ่งตามระยะทางแล้วใกล้นาริตะมากกว่าของเส้น JR ที่จอดชินจุกุซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินมากกว่า

6. จากในเมืองไปสนามบินด้วยแท็กซี่
สำหรับผู้ที่มีฐานะ และยอมจ่ายเพื่อความสะดวกของตัวเอง ถ้าอยากลองนั่งแท็กซี่จากในเมืองโตเกียวไปสนามบินนาริตะ (อันไกล) 22000-25000 เยนหรือ ประมาณ 8 พันบาท รวมค่าทางด่วนแล้ว แพงขนาดนี้แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้วิธีนี้ในการไปสนามบินเช่นเดียวกัน

7. นั่งเครื่องบินจากโตเกียวไปเมืองต่างๆ ในประเทศ
โดยปกติหากเดินทางจากโตเกียวไปยังเมืองต่างๆ ในประเทศ ราคาอาจจะเท่าๆ กับการเดินทางไปเที่ยวประเทศใกล้ๆ อย่างเกาหลี จีน หรือไต้หวันเลยทีเดียว โดยปกติ ตั๋วไปกลับโตเกียว-โอซาก้า ของ ANA ก็จะราวๆ 20,000-30,000 เยน หรือราวๆ 7000-10000 บาท อาจจะมีบางครั้งที่สายการบินราคาประหยัดออกโปรโมชั่นแข่งขันกันด้านราคา อาจสามารถซื้อได้ถูกจริงๆ ก็เช่น 10,000 กว่าเยน หรือ 3500 บาท แต่ก็ต้องคอยจับจ้องหน้าเว็บไซต์และติดตามข่าวตลอดเวลา เหมาะกับคนที่ไม่มีงาน ไม่มีเรียน สามารถเดินทางได้ตลอดเวลาจริงๆ เพราะก็เหมือนกับบ้านเรา ตั๋วถูกเวลาบินก็อาจจะไม่ดี เช่นออกเดินทางเช้ามากจนต้องไปนอนแถวสนามบิน หรือไปถึงสนามบินปลายทางดึกมากๆ จนเดินทางไปไหนต่อไม่ได้และต้องนอนค้างแถวสนามบินเช่นกันเป็นต้น เพราะฉะนั้น คนญี่ปุ่นที่อยากประหยัดจริงๆ จึงอาจเลือกการเดินทางด้วยรถบัสรอบกลางคืนที่ออกเดินทางดึกๆ ไปถึงปลายทางเช้าๆ นอนในรถไปเลย ราคาก็ถูกลงพอสมควรครับ

8. นั่งชิงคันเซ็นจากโตเกียวไปเมืองต่างๆ ในประเทศ
นอกจากการขึ้นเครื่องบินและรถบัสแล้ว คนญี่ปุ่นยังมีอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางระยะไกลในประเทศ นั่นคือการขึ้นชิงคันเซ็น หรือรถไฟหัวกระสุน ซึ่งก็เป็นการเดินทางที่สะดวกสบายมากเพราะไม่ต้องเผื่อเวลามากแบบการขึ้นเครื่องบินที่มีขั้นตอนมากมาย หากแต่ราคาของชินคันเซ็นค่อนข้างสูงพอสมควร บางครั้งแพงกว่าเครื่องบินเสียด้วยซ้ำ เช่นเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้า ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ระยะทาง 550 กิโลเมตร ด้วยราคา 13,000 เยน หรือ ราวๆ 4,500 บาท ไปกลับก็ 9,000 บาทแล้ว คนญี่ปุ่นหลายคนจึงรู้สึกว่าหาตั๋วเครื่องบินถูกๆ ไปเที่ยวต่างประเทศจะคุ้มค่าเสียกว่า