วันนี้จะพาไปทำความรู้จักสถานที่ ที่นักเดินทางชาวไทยนิยมไป ว่าแล้วคงหนีไม่พ้น ญี่ปุ่น ประเทศที่มีความสวยงามทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม ท่องเที่ยวญี่ปุ่น สามารถทำได้ทั้งปี จะไปชมดอกไม้หรือไปร่วมงานเทศกาลท้องถิ่นหรือจะเป็นเมนูอาหารที่ขึ้นชื่อของของญี่ปุ่น ที่ทุกๆคนเรียกกันแดนปลาดิบต้องยกให้ญี่ปุ่นเป็นที่หนึ่ง แน่นอนคะ
เมืองยอดฮิตที่ติดท็อปรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นเสมอมา ได้ฉายาว่า “อีสต์ มีท เวสต์” (East meets West) หมายถึง การมาบรรจบกันของวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก เพราะนอกจากคุณจะได้ชมบ้านเมืองที่ยังคงด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้ว คุณก็ยังจะได้สัมผัสเทคโนโลยีล่าสุดของโลก และแฟชั่นแบบตะวันตกในสไตล์ญี่ปุ่น ฮาราจุกุในโตเกียวก็เปรียบได้กับถนนเมดิสัน แห่งมหานครนิวยอร์ค นั่นเอง จัดเป็นสุดยอดสถานที่เที่ยวญี่ปุ่นด้านช้อปปิ้งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวเอเชียรวมทั้งไทยเราเป็นจำนวนล้นหลามทีเดียว
โตเกียวสามารถ เที่ยวได้ตลอดปี ฤดูชมซากุระเมืองนี้จะอยู่ราวกลางเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน และช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีจะอยู่ราวเดือนพฤศจิกายน
สำหรับคนที่ชื่นชมศิลปวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น ทั้งวัดโบราณที่ทำให้คุณเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อเกือบพันปีก่อนในย่างก้าวแรกที่เดินเข้าไป และเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจเลยหากคุณจะเดินสวนกับเกอิชาในชุดกิโมโนบนถนนใจกลางเมือง และการเข้าร่วมพิธีชงชาญี่ปุ่นแบบโบราณ ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพลาดสำหรับการไปเยือนเกียวโต
ช่วงเวลาที่น่าไปเที่ยวเมืองเกียวโตมากที่สุด คือ ฤดูใบไม้ผลิราวเดือนมีนาคมและฤดูใบไม้ร่วงราวเดือนตุลาคม ทั้งนี้ในช่วงเดือนเมษายนก็จะเป็นช่วงเทศกาลใหญ่ประจำปี เทศกาลมิยาโกะ
เมืองที่ใหญ่อันดับสองของประเทศ นอกจากจะเป็นเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศแล้ว ยังขึ้นชื่อด้านอาหารในราคาย่อมเยา เพราะไม่ว่าจะมุมไหนของเมือง คุณก็สามารถหาร้านอาหารรสชาติเป็นเลิศ แต่ราคาสบายกระเป๋าได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ปราสาทโอซาก้า, ยูนิเวิร์ลซัล สตูดิโอแห่งญี่ปุ่น และสวนลอยน้ำโอซาก้านั้นเที่ยวได้ตลอดปี ฤดูชมซากุระเมืองนี้จะอยู่ราวกลางเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน
ใครรักอาหารทะเลคงต้องชอบฟุกุโอกะ นอกจากนี้ยังเป็นบ้านเกิดของบะหมี่ราเม็งอันลือชื่อของญี่ปุ่น ฉะนั้นรับรองว่าหากไปเยือนฟุกุโอกะ คุณจะไม่มีทางพลาดการชิมราเม็ง เพราะร้านบะหมี่ข้างทางถือเป็นร้านอาหารยอดนิยม ไม่ต่างจากรถขายไส้กรอกในอเมริกา หรือแผงขายส้มตำบ้านเรา นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีคุณภาพการใช้ชีวิตสูง ถึงกับได้ฉายาว่าเป็นเมืองที่รีเล็กซ์ หรือเครียดน้อยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ฤดูกาลท่องเที่ยวของฟุกุโอกะ จะอยู่ราวเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลโกลเด้นวีคและในช่วงเดือนกันยายน-เดือนตุลาคมก็เป็นช่วงที่อากาศกำลังสบายน่าไปเที่ยวอีกช่วงหนึ่ง
เมืองแห่งกวางหรือเมืองนารา ทุกหนแห่งที่คุณเดินทางคุณจะพบเห็นกลุ่มกวางอันเป็นมิตรกับผู้คน นอกจากนี้นารายังถือเป็นแหล่งกำเนิดของขนบธรรมเนียมสำคัญๆ ของชาวญี่ปุ่น เมืองนารานี้มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น พระพุทธรูปไดบุทสึ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดของโลก วัดโฮริวจิ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกและได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นเดียวกับวัดโทไดจิวัดเก่าแก่ที่สุดของเมือง
เมืองนาราสามารถเที่ยวได้ตลอดปี ฤดูชมซากุระเมืองนี้จะอยู่ราวกลางเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายน และช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตั้งแต่ราวเดือนตุลาคม-ต้นเดือนธันวาคม
จังหวัดชิกะ (ญี่ปุ่น: 滋賀県 โรมาจิ: Shiga-ken) เป็นจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณภาคคันไซ มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองโอตสึ มีขนาดพื้นที่ทั้งสิ้น 4,017.36 ตารางกิโลเมตร ในสมัยก่อน ชิงะ เป็นที่รู้จักกันในชื่อ มณฑลโอมิ (ญี่ปุ่น: 近江国 โรมาจิ: Ōmi no kuni) หรือโกชู (ญี่ปุ่น: 江州 โรมาจิ: Gōshū) ก่อนที่จะมีการใช้ระบบการบริหารราชการแบบแบ่งจังหวัดขึ้น มณฑลโอมิเป็นเพื่อนบ้านกับนาระ และเกียวโต เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างญี่ปุ่นตะวันตกและตะวันออก ในช่วง ค.ศ. 667 ถึง ค.ศ. 672 นั้น จักรพรรดิเท็นจิทรงสร้างพระราชวังที่โอตสึ จากนั้น ในปี ค.ศ.742 จักรพรรดิโชมุทรงสร้างพระราชวังที่ชิงารากิ ในช่วงต้นของยุคเฮอัง พระภิกษุไชโชเติบโตขึ้นที่โอตสึและได้สร้างวัดเอ็นเรียกุซึ่งเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายมหายานแบบเท็นได และได้ปัจจุบันได้เป็นหนึ่งในมรดกโลกพร้อมกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่งในเกียวโต
พื้นที่ 1 ใน 6 ของจังหวัดชิกะ มีทะเลสาบ Biwa ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และรอบ ๆ ทะเลสาปนั้นคือภูเขาลูกใหญ่หลายลูกที่มีต้นไม้เขียวขจีปกคลุมอยู่ ยิ่งถ้าช่วงใบไม่เปลี่ยนสี ภูเขาทุกลูกก็จะมีสีแดงสลับเหลืองของใบเมเปิ้ล เป็นภาพที่สวยงามเกินจะบรรยาย เรียกได้ว่าเป็นจังหวัดที่มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากๆเลยล่ะ
นอกจากการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแล้ว คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้ง พร้อมทั้งทำกิจกรรมสนุก ๆ ในจังหวัดชิกะแห่งนี้ได้ด้วย ! ไปดูกันเลย
วัดเอนรยาคุจิ (Enryakuji Temple) ตั้งอยู่ในเทือกเขา Hiezan บริเวณระหว่างชายแดนของจังหวัดเกียวโตและจังหวัดชิกะ ก่อตั้งโดยพระรูปหนึ่งซึ่งมีนามว่า Dengyodaishi Saicho เป็นสถานที่ซึ่งมีเหล่าพระสงฆ์ระดับปรมจารย์มากมาย และยังเป็นที่ให้กำเนิดนิกายต่าง ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความขลัง และน่าศรัทธามาก ๆ
ภายในวัดมีอาณาเขตกว้างขวาง เมื่อมองลงไปจากบริเวณวัดจะสามารถมองเห็นตัวเมืองเกียวโตและทะเลสาบบิวะได้อีกด้วย หากจะเดินชมให้ทั่วทั้งบริเวณของวัด อาจต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงเลยล่ะ
จุดท่องเที่ยวภายในวัดจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ด้านทิศตะวันออก (Toudou) ด้านทิศตะวันตก (Saidou) และด้าน Yokawa ซึ่งประกอบไปด้วยโบสถ์วิหารจำนวน 16 แห่ง และโบสถ์วิหารจำนวนมากยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าเนินเขาทางทิศตะวันตกของเมืองโคคะ (Koka) ถูกก่อตั้งและออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง Koyama Mihoko ใครที่ชอบเสพงานศิลป์ และสถาปัตยกรรม ขอบอกว่าห้ามพลาด
เพราะโครงสร้างและการออกแบบของอาคารที่สุดโดดเด่นท่ามกลางป่าเขียวขจี นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ! เพราะมีอุโมงค์ขนาดใหญ่และยาวที่ตัดลอดภูเขา มองเห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านวิวทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า รวมถึงดอกซากุระสีชมพูสดใสที่รอต้อนรับคุณอยู่ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยล่ะ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รวบรวมของสะสมโบราณทางศิลปะรวมไปถึงของชาวอียิปต์ โรมัน และวัฒนธรรมเอเชียอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของสะสมส่วนตัวของคุณ Koyama อีกด้วย และจะมีการจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งปี
ภูมิภาคคันโต(Kanto)เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงมหานครโตเกียว(Tokyo)เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่และมีระบบการคมนาคมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่โตเกียวเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น มีแหล่งช้อปปิ้งและกินดื่มมากมาย รวมถึงสถานที่ทางศิลปะวัฒนธรรมอย่างเช่น ปราสาท พระราชวัง ศาลเจ้าและวัดดังๆรวมกันอยู่ที่เมืองนี้มากมาย
ภูมิภาคคันโตมีพื้นที่เป็นที่ราบประมาณ 45% ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นเทือกเขา ชายหาดและแม่น้ำทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายนอกเหนือจากเมืองหลวง
ตัวอย่างการท่องเที่ยวง่ายๆ แบบเช้าไปเย็นกลับจากเมืองโตเกียวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ เช่น โยโกฮาม่า(Yokohama)ที่เป็นเมืองท่าในสมัยเปิดประเทศช่วงปลายสมัยเอโดะ, ศาลเจ้าเก่าแก่ที่เป็นมรดกโลกที่นิกโก้(Nikko)เมืองหลวงเก่าติดทะเลคามาคุระ(Kamakura)ซึ่งเจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางทางกลางเมืองและวัฒนธรรมยุคกลางของญี่ปุ่น และเมืองแห่งนํ้าพุร้อนฮาโกเน่(Hakone)ที่มีชื่อเสียงด้านทะเลสาบและวิวภูเขาไฟฟูจิ
ภูมิภาคชุบุ(Chubu)มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอยู่มากมายอยู่ติดกับภูมิภาคคันโต(Kanto)และภูมิภาคคันไซ(Kansai)มีเทือกเขาสูงชันทำให้เกิดสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันมากในภูมิภาคนี้ เช่นส่วนที่ติดกับทะเลจะอบอุ่นแต่ในเทือกเขากลับมีหิมะหนาสูง 5 เมตร ประกอบไปด้วย 9 จังหวัดย่อย มีเมืองนาโงยะ(Nagoya)เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค
ภูมิภาคชุบุมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ธรรมชาติ ภูเขา ทะเล ไปจนถึงวัฒนธรรมและเทคโนโลยี สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ เช่น เทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น ที่มีกำแพงหิมะหรือสโนว์วอลหนาสูงถึง 5 เมตร, ปราสาทมัตสึโมโต้ที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม, หมู่บ้านหลังคาโบราณชิราคาวะโกะ, สกีรีสอร์ท, ชายหาด และเมืองออนเซนอีกมากมาย ทำให้ชุบุสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปีเลย
ภูมิภาคคันไซ(Kansai)เป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญต่อศิลปะและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมานานนับพันปีเพราะเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของญี่ปุ่นในอดีตถึง 2 เมืองคือ นะระ(Nara) และ เกียวโต(Kyoto) และในปัจจุบันยังเป็นที่ตั้งของเมืองโอซาก้า(Osaka)ที่เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ญี่ปุ่นด้วย
ภูมิภาคคันไซประกอบด้วยจังหวัดทั้งหมด 6 จังหวัดมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายและมากมายไม่แพ้ภูมิภาคอื่นๆเลยตั้งแต่ ปราสาทฮิเมจิที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น, ทะเลสาบบิวะโกะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น, แหล่งรวมวัดและศาลเจ้าโบราณและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกที่เมืองเกียวโต รวมถึงสวนสนุกยูนิเวอร์ซัลสตูดิโอ สวนสนุกระดับโลกจากฮอลลีวู้ดที่เมืองโอซาก้า
ภูมิภาคคิวชู(Kyushu )เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะใหญ่ฮอนชู ประกอบไปด้วยเมืองท่าสำคัญๆหลายแห่งที่ใช้ติดต่อ ค้าขายกับชาวจีน และชาวตะวันตกมานานหลายร้อยปี โดยมีเมืองหลวงคือจังหวัดฟูกุโอกะ(Fukuoka)
บนเกาะคิวชูมีแหล่งท่องเที่ยวครบทุกรูปแบบ ทั้ง ภูเขาไฟทั้งที่ยังไม่ดับ, เมืองตากอากาศออนเซนที่มีชื่อเสียง, สวนสนุก, สวนน้ำ, วัด, ศาลเจ้า, ร้านอาหารที่มีชื่อเสียง และยังสามารถท่องเที่ยวได้ครบทุกฤดูกาลด้วย เช่น การชมซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิ, การชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ส่วนหิมะก็มีแต่จะมีน้อยกว่าเกาะใหญ่เล็กน้อยเพราะอยู่ทางตอนล่างของประเทศ และอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคคิวชูน่าสนใจก็คือ ค่าครองชีพของที่นี่ จะถูกกว่าแถบโตเกียวหรือโอซาก้าพอสมควรเลยทีเดียว
การเดินทางในภูมิภาคนี้ก็ค่อนข้างสะดวกเหมือนกับบนเกาะใหญ่ เพราะมีเครือข่ายรถไฟ JR ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของเกาะ ที่สามารถใช้กับ JR PASS ได้เลย หรือถ้ามาเฉพาะเกาะคิวชูก็ยังมี Kyushu Pass ที่ราคาถูกกว่าด้วย ส่วนเส้นทางระหว่างเมืองก็มีรถไฟความเร็วสูงหรือชินคันเซน(shinkansen) ไว้ให้บริการด้วย และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยออกนอกเส้นทางหลักๆหรือไม่นิยมเที่ยวตามเมือง แต่ชอบเที่ยวธรรมชาติก็สามารถเช่ารถขับเที่ยวไปทั่วๆเกาะได้เลย
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุราอูมิ(Okinawa Churaumi Aquarium) เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2002 ตั้งอยู่ใน Ocean Expo Park ที่เคยจัดแสดงงานนานาชาติเอ็กซ์โปในปี 1975 ไฮไลท์ของการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้คือแท็งก์น้ำคุโรชิโอะ(Kuroshio Tank) ซึ่งเป็น 1 ในแท็งก์น้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งภายในนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตในทะเลแถบโอกินาว่าที่หลากหลาย สัตว์น้ำที่โดดเด่นที่สุดคือฉลามวาฬยักษ์ และกระเบนราหู
ในอาคารพิพิธภัณฑ์แยกออกไป 3 ชั้น โดยทางเข้าอยู่บนชั้น 3 และทางออกอยู่ที่ชั้น 1 หลังจากที่นักท่องเที่ยวเข้ามาจะพบกับบ่อน้ำที่อนุญาตให้ทดลองสัมผัสปลาดาว และหอยชนิดต่างๆได้ ถัดไปเป็นแท็งก์น้ำที่จัดแสดงโลกของสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง เมื่อเดินผ่านตู้ปลามาแล้วจะเป็นแท็งก์คุโรชิโอะ โดยการให้อาหารสัตว์น้ำจะมีวันละ 2 ครั้ง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้เวลาชม ณ จุดนี้นานที่สุด ด้านข้างแท็งก์เป็นโรงภาพยนตร์ที่ฉายวีดีโอเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทางทะเลของโอกินาว่า
แท็งก์ถัดมาเป็นที่อยู่อาศัยของฉลาม ฉลามเสือ และฉลามวัว ต่อจากนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตในน่านน้ำที่อาศัยลึกลงไปอีก รวมถึงปลาที่เรืองแสงได้ นอกจากนี้ยังมีสระน้ำกลางแจ้งที่ตั้งอยู่ใกล้ริมน้ำซึ่งเป็นที่จัดการแสดงของโลมาแสนรู้ เต่าทะเล และพะยูน ที่จัดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน(ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ต้องตรวจสอบเวลาการแสดงก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์)
ก่อนเวลาปิด 1 ชั่วโมง
วันปิดทำการ: วันพุธแรกของเดือนธันวาคม และวันถัดไป
วิธีการเดินทาง
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นส่วนหนึ่งของ Ocean Expo Park ณ คาบสมุทรโมโทบุ(Motobu Peninsula) ทางทิศเหนือของ Okinawa Honto ห่างจาก Naha ไปประมาณ 90 กิโลเมตร
จากสนามบิน Naha Airport โดยสารรถบัส Yanbaru Express bus ไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงกว่า ค่าใช้จ่าย 2,000 เยน ให้บริการ 6 รอบ/วัน
ในตัวเมือง Naha รถบัสจะจอดที่ ศาลากลางจังหวัด ท่าเรือโทมาริ และสถานีรถไฟ Furujima Station(Yurail monorial)
จาก Naha โดยสาร highway bus หมายเลข 111 ไปลงที่สถานีขนส่ง Nago Bus terminal(จาก Naha bus center 90 นาที 2,100 เยน หรือจาก Naha Airport 105 นาที 2,190 เยน บัสออกชั่วโมงละ 1-2 รอบ) และเปลี่ยนไปนั่งรถบัสหมายเลข 70 ลงที่ Kinen Koen Mae bus stop ซึ่งอยู่หน้า Ocean Expo Park(50 นาที 880 เยน) หรือรถบัสหมายเลข 65/66 บางคันก็จอดที่ Ocean Expo Park เช่นกัน
จาก Naha ขับรถมาตามเส้นทาง Okinawa Expressway ไปทางทิศเหนือสุดใกล้ Nago(1,020 เยน) แล้วขับลงถนนธรรมดาตรงข้ามคาบสมุทรโมโทบุ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง
วันนี้มาดูค่าเดินทางในญี่ปุ่นโดยเฉพาะโตเกียวนั้นเมื่อเทียบกับบ้านเราแล้วมีอะไรถูกหรือแพงบ้าง และมีวิธีการเดินทางอะไรที่คนญี่ปุ่นใช้กัน ไปดูกันเลยค่ะ
1. รถไฟใต้ดิน
รถไฟใต้ดินในโตเกียวมีด้วยกัน 12 สาย โดย 9 สาย เป็นรถไฟที่เราเรียกกันว่า Tokyo Metro ดำเนินการโดยบริษัท Tokyo Metro ส่วนอีก 3 สายที่เหลือเป็นรถไฟบริหารโดยเมืองโตเกียวโดยตรง ทั้ง 12 สายนี้มีสีสันโดดเด่นจำง่ายและมีชื่อสายเฉพาะตัว ที่ดังๆ เช่น สายกินซ่าสีส้ม สายมารุโนะอุจิสีแดง สายฮันโซมงสีม่วง สายฮิบิยะสีเทา สายยูระคุโจสีทอง เป็นต้น การขึ้นรถไฟใต้ดินของแต่ละสายนี้ก็ง่ายดาย และหากเราเดินทางด้วยรถไฟ 9 สายนี้แล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนสายไปมาขนาดไหน ราคาก็จะไม่กระเถิบสูงขึ้นขนาดนั้นเพราะเป็นการเปลี่ยนสายในบริษัทเดียวกัน ในหนึ่งทริป เช่น จากบ้านไปสักที่หนึ่งในโตเกียวด้วยรถไฟใต้ดิน ใกล้ไกลแค่ไหนราคาก็จะอยู่ราวๆ 170-210 เยน หรือราวๆ 70 บาทต่อครั้ง
2. รถไฟสายอื่นๆ (บนดิน)
นอกจากรถไฟใต้ดินแล้ว โตเกียวยังมีรถไฟของบริษัทเอกชนหลายสายให้บริการอีกด้วย ส่วนมากจะเป็นรถไฟที่วิ่งจากใจกลางเมืองไปยังชานเมือง ขนส่งผู้คนจากรอบๆ (ปริมณฑล) เข้ามายังโตเกียว เส้นที่ดังๆ ก็เช่น โตคิว เจ้าของเดียวกับห้างโตคิวที่เรารู้จักกัน และก็มีเส้น โทบุ เซบุ โอดะคิว เคโอ เป็นต้น รถไฟเหล่านี้แทบจะร้อยทั้งร้อยวิ่งบนดินด้วยความที่วิ่งในระยะทางที่ไกลขึ้นมาหน่อย เพราะถ้าให้สร้างใต้ดินทั้งหมดคงแพงใช่เล่น(ให้ลองนึกถึงรถไฟที่วิ่งจากมหาชัย สุพรรณบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทราหรือมีนบุรีวิ่งเข้ากรุงเทพฯ)
ในช่วงเช้า รถไฟสายเอกชนเหล่านี้ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องความแน่น นั่นก็เพราะทุกคนที่ขึ้นรถไฟมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือขึ้นมาลงปลายทางในเมือง สถานีระหว่างทางจึงไม่ค่อยมีคนลง ภาพที่เราเห็นเป็นปลากระป๋องบางทีก็มาจากรถไฟสายเหล่านี้นี่แหละครับ ส่วนราคาก็อยู่ตั้งแต่ประมาณ 70 กว่าบาทไปถึงหลัก 2-3 ร้อยบาทแล้วแต่ระยะทางที่รถวิ่งครับ บางสายที่มีระยะทางยาวมากๆ อาจมีเบาะพิเศษให้นั่ง (เช่นรถที่ชื่อขบวน GREEN CAR) ซึ่งเราก็ต้องจ่ายค่าเบาะเพิ่ม ราคาก็ตกอยู่หัวละเพิ่มคนละ 1000 เยน หรือ 350 บาท ได้ครับ
3.รถเมล์ระยะใกล้
การเดินทางที่สะดวกสบายมากๆ ในโตเกียวอีกวิธีหนึ่งคือการขึ้นรถประจำทางครับ ในโตเกียวส่วนมากจ่ายเงินตอนขึ้นครับ นั่นหมายถึงราคาเดียวตลอดทาง แม้ในจังหวัดอื่นๆ อาจมีระบบจ่ายเงินตอนลงและคิดเงินตามระยะทางที่นั่งก็ตาม
ความดีงามของรถเมล์ในโตเกียวคือค่อนข้างกำหนดระยะเวลาแน่นอนตามตารางได้ คนขับสุภาพ ปลอดภัย เหมาะกับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และเด็กๆ โดยเฉพาะหากจะเดินทางระยะใกล้ๆ แถวบ้านไปยังสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด รถเมล์เป็นอะไรที่แนะนำมากๆ ครับ ราคาต่อคนของรถเมล์ในโตเกียวส่วนใหญ่ก็เป็นแบบจ่ายทีเดียวจบ คนละ 210 เยน หรือราวๆ 70 กว่าบาท ครับ
4.แท็กซี่ระยะทางใกล้ๆ ในเมือง
ในโตเกียว รถแท็กซี่ราคามิเตอร์เริ่มต้นที่ 710 เยน หรือประมาณ 250 บาท ทุกๆ ครั้งที่มิเตอร์ขึ้น จะขึ้นทีละ 90 เยนหรือ 30 บาท พูดง่ายๆ คือถ้านั่งประมาณสัก 1-2 สถานีรถไฟ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 2000 เยน หรือ 700 บาท เบาๆ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน เช่นหลัง 4 ทุ่ม เป็นต้นไป ราคามิเตอร์ก็จะแพงขึ้นอีก นั่นคือมิเตอร์จะเดินเร็วขึ้นประมาณ 20% ดังนั้น ถ้าจะขึ้นแท็กซี่ต้องคิดให้ดีก่อนเพราะไม่เช่นนั้นอาจล้มละลายได้ถ้านั่งระยะทางไกล หากไม่ทันรถไฟขบวนสุดท้ายจริงๆ คนญี่ปุ่นมีทางเลือกอื่นนอกจากขึ้นแท็กซี่คือไปหาเน็ตคาเฟ่นอนรอจนเช้า หรือไม่ก็ไปพวก DVD box หรือร้านคาราโอเกะแทน
5. จากในเมืองไปสนามบินด้วยรถไฟ
จากในเมืองโตเกียวเดินทางไปสนามบินมีหลายวิธีด้วยกัน หลักๆ คือ รถไฟ และ รถลิมูซีนบัส โดยเฉพาะไปสนามบินนาริตะ ซึ่งห่างออกไปราวๆ 70-80 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 90 นาที หากใช้รถไฟ ออกเดินทางจากชินจุกุ เป็นรถด่วนพิเศษที่ชื่อว่า JR Narita Express ราคาประมาณ 3000 เยน หรือราวๆ 1000 บาท รถลิมูซีนบัสก็ราคาเท่ากันครับ
ซึ่งนอกจากรถไฟของ JR ที่ให้บริการรถด่วนไปยังสนามบินนาริตะแล้ว ยังมีของอีกเจ้าหนึ่งให้บริการรถด่วนไปนาริตะเช่นเดียวกัน นั่นก็คือรถด่วนที่ชื่อว่า ที่ถูกกว่านิดนึงเพราะว่ารถไฟเส้นนี้จะมาจอดที่อุเอะโนะ ซึ่งตามระยะทางแล้วใกล้นาริตะมากกว่าของเส้น JR ที่จอดชินจุกุซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินมากกว่า
6. จากในเมืองไปสนามบินด้วยแท็กซี่
สำหรับผู้ที่มีฐานะ และยอมจ่ายเพื่อความสะดวกของตัวเอง ถ้าอยากลองนั่งแท็กซี่จากในเมืองโตเกียวไปสนามบินนาริตะ (อันไกล) 22000-25000 เยนหรือ ประมาณ 8 พันบาท รวมค่าทางด่วนแล้ว แพงขนาดนี้แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้วิธีนี้ในการไปสนามบินเช่นเดียวกัน
7. นั่งเครื่องบินจากโตเกียวไปเมืองต่างๆ ในประเทศ
โดยปกติหากเดินทางจากโตเกียวไปยังเมืองต่างๆ ในประเทศ ราคาอาจจะเท่าๆ กับการเดินทางไปเที่ยวประเทศใกล้ๆ อย่างเกาหลี จีน หรือไต้หวันเลยทีเดียว โดยปกติ ตั๋วไปกลับโตเกียว-โอซาก้า ของ ANA ก็จะราวๆ 20,000-30,000 เยน หรือราวๆ 7000-10000 บาท อาจจะมีบางครั้งที่สายการบินราคาประหยัดออกโปรโมชั่นแข่งขันกันด้านราคา อาจสามารถซื้อได้ถูกจริงๆ ก็เช่น 10,000 กว่าเยน หรือ 3500 บาท แต่ก็ต้องคอยจับจ้องหน้าเว็บไซต์และติดตามข่าวตลอดเวลา เหมาะกับคนที่ไม่มีงาน ไม่มีเรียน สามารถเดินทางได้ตลอดเวลาจริงๆ เพราะก็เหมือนกับบ้านเรา ตั๋วถูกเวลาบินก็อาจจะไม่ดี เช่นออกเดินทางเช้ามากจนต้องไปนอนแถวสนามบิน หรือไปถึงสนามบินปลายทางดึกมากๆ จนเดินทางไปไหนต่อไม่ได้และต้องนอนค้างแถวสนามบินเช่นกันเป็นต้น เพราะฉะนั้น คนญี่ปุ่นที่อยากประหยัดจริงๆ จึงอาจเลือกการเดินทางด้วยรถบัสรอบกลางคืนที่ออกเดินทางดึกๆ ไปถึงปลายทางเช้าๆ นอนในรถไปเลย ราคาก็ถูกลงพอสมควรครับ
8. นั่งชิงคันเซ็นจากโตเกียวไปเมืองต่างๆ ในประเทศ
นอกจากการขึ้นเครื่องบินและรถบัสแล้ว คนญี่ปุ่นยังมีอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางระยะไกลในประเทศ นั่นคือการขึ้นชิงคันเซ็น หรือรถไฟหัวกระสุน ซึ่งก็เป็นการเดินทางที่สะดวกสบายมากเพราะไม่ต้องเผื่อเวลามากแบบการขึ้นเครื่องบินที่มีขั้นตอนมากมาย หากแต่ราคาของชินคันเซ็นค่อนข้างสูงพอสมควร บางครั้งแพงกว่าเครื่องบินเสียด้วยซ้ำ เช่นเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้า ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ระยะทาง 550 กิโลเมตร ด้วยราคา 13,000 เยน หรือ ราวๆ 4,500 บาท ไปกลับก็ 9,000 บาทแล้ว คนญี่ปุ่นหลายคนจึงรู้สึกว่าหาตั๋วเครื่องบินถูกๆ ไปเที่ยวต่างประเทศจะคุ้มค่าเสียกว่า