โตเกียว (Tokyo)
โตเกียว เมืองที่ใครๆ ต่างใฝ่ฝันที่จะไปกันให้ได้สักครั้งกับการมาเที่ยวญี่ปุ่น โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า มหานครโตเกียว เมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะ วัฒนธรรม บันเทิง ช้อปปิ้ง หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ งานนี้เราเลยขอแนะนำแบบทุกที่ที่พอจะรู้จักกันเลย
ต้องขอบอกก่อนเลยว่า การเดินทางที่สะดวกและประหยัดที่สุด ถือการเดินทางด้วยรถไฟ ไม่ว่าจะ JR หรือ Subway และแต่ความสะดวกของแต่ละคนได้เลย อันดับแรกของแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวกันก่อนเลย
วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple)
ประตูโฮโซม่อน (Hozomon Gate)
ถนนคนเดินนากามิเซะ (Nakamise Dori)
วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า วัดอาซากุสะ อยู่ในย่านอาซากุสะ เป็นวัดที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดี ด้วยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคันนง เมื่อมาถึงวัดแห่งนี้สิ่งแรกที่จะได้เห็นก็คือประตูทางเข้าขนาดใหญ่ที่มีโคมกระดาษขนาดใหญ่แขวนไว้โดยมีรูปสายฟ้าและเมฆเขียนเอาไว้ ประตูคามินาริ (Kaminarimon Gate) หรือ ประตูอสุนี วัดแห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมอยู่ตลอดอย่างไม่ขาดสาย และมักนิยมหามุมตรงหน้าประตูคามินารินี้ถ่ายรูป เพื่อแสดงว่าตนได้มาถึงโตเกียวแล้ว ด้วยที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมมากมาย ทำให้มีถนนคนเดินขึ้นถัดจากประตูคามินาริ ที่เต็มไปด้วยร้านค้าขายของฝากของที่ระลึกมากมาย
พระราชวังอิมพิเรียล (Tokyo Imperial Palace)
พระราชวังอิมพิเรียล (Tokyo Imperial Palace)
สะพานนิจูบาชิ (Nijubashi)
พระราชวังอิมพิเรียล (Tokyo Imperial Palace) ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่กลางใจเมืองโตเกียว สมัยก่อนเรียกว่าปราสาทเอโดะ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิ ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายใน แต่ตรงบริเวณสวนด้านทิศตะวันออก หรือจะเป็นสวนบริเวณด้านหน้า นั้นเปิดให้เข้าชมได้ตลอดทั้งปีเป็นจุดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกัน นักท่องเที่ยวส่วนมากมักจะไปถ่ายรูปที่สะพานแว่นตา หรือ สะพานนิจูบาชิ (Nijubashi) ที่จะเห็นเงาสะท้อนบนผิวน้ำคล้ายรูปแว่นตา
ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญต่อตลาด “คนไทยเที่ยวญี่ปุ่น” ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง! สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นโดยไม่ต้องขอวีซ่า พำนักได้ไม่เกิน 15 วัน เหมือนกับช่วงปกติก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19
ศิริพร บัณฑิตย์จิรกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หลังจากญี่ปุ่นประกาศ “เปิดประเทศ” นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าไปได้ไม่ยุ่งยาก มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.2565 เป็นต้นไป โดยมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวที่เพิ่มมาจากสมัยก่อนโควิด-19 ระบาดคือ ต้อง “แสดงเอกสารรับรอง” อย่างใดอย่างหนึ่ง
ระหว่าง 1.ใบรับรองการตรวจโควิด-19 ผลเป็นลบ โดยต้องตรวจภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางจากไทย ด้วยวิธีที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนด เช่น RT-PCR (ไม่สามารถใช้ผลตรวจ ATK ได้)
หรือ 2.ใบรับรองการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม ด้วยยี่ห้อวัคซีนตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศรับรอง เช่น ฉีดซิโนแวคหรือซิโนฟาร์มครบ 3 เข็ม หรือฉีดซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม 2 เข็มแรก ตามด้วยไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือแอสตราเซเนก้าเป็นเข็มที่ 3 ก็สามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้
ตามที่ JNTO ได้ติดตามผลตอบรับจากบริษัททัวร์ ส่วนใหญ่บอกว่ากระแสตอบรับดีมาก! นักท่องเที่ยวไทยต้องการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงไฮซีซัน “ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี” และ “ฤดูหนาว” โดยเฉพาะช่วงหยุดยาว “เทศกาลปีใหม่” มีดีมานด์จองแพ็คเกจท่องเที่ยวเข้ามามากพอสมควร บริษัททัวร์ถึงขั้นต้องรับพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับกระแสการเดินทางที่ฟื้นตัว
“นอกจากนี้ยังรับทราบจากบริษัททัวร์เช่นกันว่า เมื่อดีมานด์ท่องเที่ยวญี่ปุ่นฟื้นตัวเร็ว ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินเส้นทางไทย-ญี่ปุ่น แพงขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไทยบางส่วนเลือกใช้วิธีแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศอื่นเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย”
สำหรับแนวทางการส่งเสริมตลาดคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นนับจากนี้ JNTO จะมุ่งโปรโมทตลาดกลุ่มเดินทางซ้ำ กลุ่มเดินทางครั้งแรก และกลุ่มลักชัวรี พร้อมเชิญอินฟลูเอนเซอร์ไทยโปรโมทการท่องเที่ยวเมืองรอง เพราะมั่นใจว่าสินค้าและบริการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นใน 47 จังหวัด ทั่ว 10 ภูมิภาค มีเสน่ห์ ไม่รู้เบื่อ ทำให้คนไทยต้องการไปเที่ยวญี่ปุ่นซ้ำหลายๆ ครั้ง
JNTO เตรียมจัดงานส่งเสริมการขาย “งานเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 2023” (Visit Japan FIT Fair 2023) ครั้งที่ 14 ตั้งแต่วันที่ 27-29 ม.ค.2566 ณ พารากอนฮอลล์ มีกว่า 100 บูธมาร่วมงาน ทั้งผู้ประกอบการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของแต่ละท้องถิ่นในญี่ปุ่น โดยคาดหวังว่าจะมีจำนวนผู้เข้าชมงานใกล้เคียงกับเมื่อปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 55,000 คน ขณะเดียวกันยังเตรียมเข้าร่วมงาน “มหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 28” (Thai International Travel Fair 2023) จัดโดยองค์กรวิชาชีพภาคการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 16-19 ก.พ.2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ด้วย
ด้านสถิติเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น 1,318,977 คน มากเป็นอันดับ 6 ของตลาดต่างชาติเที่ยวญี่ปุ่น เป็นอันดับ 5 ของตลาดเอเชียเที่ยวญี่ปุ่น และเป็นอันดับ 1 ของตลาดอาเซียนเที่ยวญี่ปุ่น โดยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีจำนวนเกิน 1 ล้านคน!
เริ่มกันที่พิกัดเที่ยวญี่ปุ่นฤดูใบไม้ผลิบริเวณโตเกียว
ถ้าไปญี่ปุ่นฤดูใบไม้ผลิคงหนีไม่พ้นต้องไปดูซากุระแน่ ๆ ที่สวนสาธารณะ ชินจูกุ เกียวเอ็น ด้วยบรรยากาศของสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยซากุระช่วยสร้างบรรยากาศให้โรแมนติกสุด ๆ เลยล่ะ เหมาะสำหรับการจูงมือแฟน และครอบครัวไปเที่ยวอย่างมาก
สวนสาธารณะจิโดริงาฟูจิอยู่ใกล้กับพระราชวังอิมพีเรียล ถ้าใครที่ไปเที่ยวที่พระราชวังแล้วขากลับก็ลองแวะมาชมซากุระที่นี่กันได้ เพราะบรรยากาศที่นี่เหนือคำว่าโรแมนติกไปอีกนะเออ ทั้งถีบเรือเป็ด พายเรือ ท่ามกลางซากุระที่โปรยปรายลงมางดงามมาก
ถ้าหากว่าไปดูซากุระคนเดียวคงจะเหงาเปล่าเปลี่ยวไม่ใช่น้อย เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ไปที่นี่ก็จะไปเป็นกันคู่ ๆ แหละ พายเรือไปก็มองตากันไป หูยย เห็นแล้วอิจฉาตาร้อน แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งก่อเพลิงกลางกรุงโตเกียว เพราะความร้อนระอุของตาซะล่ะ
ถ้าดูจากภายนอกแล้วที่นี่ก็ดูเหมือนสวนสาธารณะธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วภายในมีทั้งวัด ศาลเจ้า ทะเลสาบ และสวนสัตว์ มีต้นไม้มากมายที่ช่วยให้บรรยากาศดูร่มรื่น แน่นอนว่ามีจุดชมซากุระสวย ๆ ด้วย
และถ้าได้แวะไปเที่ยวที่นี่ อาจต้องใช้เวลา 1 วันเลย เพื่อจะเที่ยวให้ครบ เพราะแต่ละที่เรียกได้ว่าเด็ด ควรค่าแก่การไปเที่ยวอย่างมาก
น้อยคนที่จะรู้ว่าโตเกียวมีเกาะ โดยเกาะนี้สามารถนั่งเครื่องบินจากโตเกียวไปได้เลย เป็นเกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมน่าสนใจมากมาย และที่สำคัญก็คือในช่วงเดือนมีนาคมนั้นจะมี Freesia Festival บนเกาะถูกปกคลุมไปด้วยดอกฟรีเซีย
ซึ่งเป็นพันธ์ุไม้ที่มีหัวฝังอยู่ใต้ดินและแทงหน่อชูช่อขึ้นฟ้าเป็นดอกไม้รูปทรงทรัมเป็ต มีกลิ่นหอมหวาน หลากสีสัน และถูกนำมาจัดเป็นภาพวาดต่าง ๆ สวยงาม ๆ เลย และนอกจากที่จะได้ชมดออกไม้สวย ๆ แบบนี้ ก็ยังจะได้ชมวิวทะเลของเกาะแห่งนี้อีกด้วยล่ะ
ฮิตาจิ ซีไซด์ ปาร์ค อยู่ที่จังหวัด Ibaraki เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่มีพื้นที่ประมาณ 190 เฮกตาร์ ภายในสวนมีทุ่งดอกไม้หลากสายพันธุ์ที่ถูกเวียนปลูกไปตามฤดูกาลในฤดูใบไม้ผลิจะได้ชมทุ่งดอกนาร์ซิสซัส และดอกทิวลิป
และเมื่อถึงต้นฤดูร้อนจะมีทุ่งดอกเนโมฟีลาและดอกกุหลาบ ส่วนดอกบานชื่นจะเริ่มบานในช่วงกลางฤดูร้อน เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้ชมทุ่งดอกโคเชียและทุ่งดอกคอสมอส อู้หูว สุดยอดไปเลย ถ้าหากว่าเราได้ไปยืนท่ามกลางทุ่งดอกไม้มากมายขนาดนี้ก็คงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ
เป็นทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่อีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวเลย อีกทั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยดอกป๊อปปี้ที่พร้อมใจกันผลิบานกว่าล้านดอก รอให้ทุกคนได้ไปชม
ถ้าหากใครที่ต้องการนั่งรถชมความสวยงามโดยรอบ ที่นี่ก็มีรถ Flower Train ที่มีหน้าตาเหมือนรถไฟวิ่งวนรอบบริเวณอีกด้วย ถ้าหากใครที่ชอบดอกไม้มาก ๆ แล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้ไปที่นี่เลย รับรองว่าถูกใจแน่ ๆ
ที่แห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาสีชมพูที่เต็มไปด้วยดอกชิบะซากุระซึ่งจะเริ่มบานตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษยนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม คอยรับฤดูแห่งการท่องเที่ยวที่ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาชมซากุระที่ญี่ปุ่นนั่นเอง
แต่นอกจากดอกชิบะซากุระแล้วก็ยังมีซากุระให้ชม รวมไปถึงสถานที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจคลายเหนื่อยจากการเดินท่องเที่ยวอีกด้วยล่ะ
ปราสาทคุมาโมโตะเป็นอีกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับใครที่อยากไปชมซากุระ เพราะจะได้สัมผัสกับบรรยากาศปราสาทญี่ปุ่นโบราณไปพร้อมๆ กับซากุระสีสันสดใสสวยงาม ชวนให้สบายตาสบายใจ
อุโมงค์วิสทีเรียที่คนไทยหลายๆ คนอาจเคยเห็นมาบ้าง เพราะสถานที่นี้เคยมีละครไทยเรื่องนึงไปถ่ายทำที่นี่นั่นเอง แหละ คงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากมาชมกันสักครั้ง ซึ่งจริงๆ แล้วที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของรัฐแต่อย่างใด แต่เป็นสถานที่ส่วนบุคคล
ซึ่งเจ้าของที่นี่ก็น่ารักมากๆ เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าชมความสวยงามของดอกฟูจิ หรือดอกวิสทีเรีย แต่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม ถ้าหากใครที่อยากชมอุโมงค์สวยๆ มีรูปถ่ายเก๋ๆ ก็ต้องไปที่นี่กันเลย
สวนสนุกธีมปาร์คสไตล์ฮอนแลนด์อยู่ที่จังหวัดนางาซากิ ภายในมีทั้งเครื่องเล่นของสวนสนุก ร้านอาหาร โรงแรม พิพิธภัณฑ์ และท่าจอดเรือที่มีความสวยงาม มีทั้งหมด 7 โซนด้วยกันคือ Free Zone, Thriller Fantasy Museum, Art Garden, Utrecht, Binnenstad, Breukelen และ Nieuwstad
ภายในยังมีผลิตภัณฑ์ และการจัดแสดงต่างๆ โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนตุลาคม จนถึงเดือนเมษายน จะมีการจัดแสดง Kingdom of Light เรียกได้ว่าอลังการจัดเต็มสุดๆ ไปเลยแต่ถ้าใครที่อยากไปเที่ยวที่นี่ก็สามารถสำรองตั๋วสำหรับเข้าตั้งแต่ก่อนไปได้เลย ผ่านเว็บนี้
เฮาส์ เทน บอช (Huis Ten Bosch) Pass
จองออนไลน์ง่ายนิดเดียว เที่ยวสนุก
เป็นสถานที่แห่งความทรงจำช่วงสงครามของญี่ปุ่นเพื่อนเตือนใจว่าสงครามนั้นมีแต่ความเจ็บปวด แต่นอกจากสิ่งปลูกสร้างที่เป็นดั่งอนุสรณ์เหล่านี้แล้วยังมีวิวทิวทัศน์รอบๆ ที่สวยงามโดยเฉพาะช่วงซากุระนั่นเอง ที่ริมน้ำด้วยล่ะ
สะพานคินไตเคียวเเป็ญหนึ่งในสามสะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลย สะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่ทอดยาวพาดผ่านแม่น้ำนิชิกิ (Nishiki River) ข้ามไปสู่ปราสาทอิวาคูนิ (Iwakuni Castle) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอีกฝากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
ที่นี่เราจะได้พบกับดอกซากุระที่แข่งกันผลิดอกเบ่งบานไปทั่ว ทำให้ที่นี่เป็นวิวสะพานที่สวยงามที่สุดนั่นเอง แต่ซากุระของที่นี่จะร่วงเร็วกว่าที่อื่นสักหน่อย แนะนำว่าให้รีบมาและเช็ควันดีล่ะๆ จะได้ไม่ชวดเนอะ
ปราสาทฮิเมจิ ตั้งอยู่ที่จังหวัด Hyogo มีภูมิทัศน์ที่สวยงามรายล้อมไปด้วยต้มไม้นานาพันธุ์ รวมไปถึงซากุระด้วยเช่นกัน ยิ่งถ้าหากเราไปเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้วล่ะก็ จะได้พบเจอกับวิวที่สวยอย่างหาที่สุดไม่ได้เลยล่ะ
ถ้าได้ชมซากุระที่นี่สักครั้งคงมีความสุขไม่น้อย สวยมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ ทั้งซากุระที่เบ่งบานกันอย่างเริงร่าที่เข้ากันกับปราสาทฮิเมจิ ยังไงก็ลองไปเที่ยวที่นี่กันดูนะ
ปราสาทโอซาก้าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมกัน โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระเบ่งบานชูช่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่มาเยี่ยมเยียนแลนด์มาร์กแห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรแวะไปจริงๆ เพราะนอกจากซากุระยังมีการจัดแสดง Light Up อีกด้วยล่ะ ใครที่ชอบความโรแมนติกใต้แสงไฟ พร้อมด้วยซากุระรีบชวนแฟนไปเลย
ถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบบรรยากาศการเดินหาขอกินตอนกลางคืนแบบงานวัดญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ เราแนะนำให้มาที่นี่ เพราะนอกจากจะได้ชมดอกไม้สวย ๆ ในตอนกลางวัน ยามกลางคืนที่นี่ก็จะมีร้านขายอาหารต่าง ๆ มาขายด้วย ให้เราได้เดินชมซากุระพร้อมกับทานอาหารญี่ปุ่นอร่อย ๆ อีกต่างหาก
ถนนเลียบคลองแสนสงบที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสัญจรต่างชอบที่จะมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่ และเมื่อถึงช่วงเวลาของซากุระถนนแห่งก็จะกลายเป็นอุโมงค์ซากุระที่มีความยาวถึง 2 กิโลเมตร เป็นที่เลื่องชื่อถึงความสวยงามของถนนสายนี้ยามที่กลีบของซากุระโปรยปรายลงมาปกคลุมพื้นจนกลายเป็นพรมซากุระ
ตลอดสองข้างทางที่เราเดินก็จะพบกับร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น ร้านน้ำชา คาเฟ่ และร้านขายของจุ๊กจิ๊กน่ารักต่าง ๆ นอกจากนี้เรายังได้พบกับศิลปินที่มาวาดภาพความสวยงามของถนนแห่งนี้อีกด้วย
เทศกาลแข่งว่าวที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ถ้าหากยังจำกันได้อยู่ สมัยก่อนประเทศก็มีเทศกาลนี้เหมือนกัน ถ้าใครที่คิดถึงบรรยากาศแบบนั้นก็สามารถไปที่นี่ได้นะ เพราะตอนกลางคืนจะมีการเดินขบวนแห่ที่สวยงามมาก ๆ เลย
ชอบแช่ออนเซ็นใช่ไหม มาที่นี่เลย เพราะนอกจากออนเซ็นดี ๆ แล้ว ยังมีลิงจ๋อแช่ออนเซ็นคลายหนาวด้วยล่ะ ถ้าใครที่อยากไปดูลิงแช่ออนเซ็นต้องไปที่นี่เลย แต่ต้องเช็ควันล่วงหน้าก่อนไป เพราะน้องลิงไม่ได้ลงมาแช่ออนเซ็นทุกวันค่ะ ที่ออนเซ็นแห่งนี้เต็มไปด้วยโขดหินและน้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน จึงเรียกพื้นที่นี้ว่า จิโกกุดานิ หรือ หุบเขาอเวจี แต่ถ้าได้ไปแช่แล้วจะเหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์เลยล่ะ
ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมนั้นดอกพิ้งค์มอสที่นี่จะเบ่งบานสะพรั่งไปทั่วทุ่งหลากสีสัน พร้อมทำให้คุณติดตราตรึงใจไปกับความสวยงามพร้อมด้วยวิวฟูจิซัง โดยงานนี้จะจัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น ได้เที่ยวทุ่งดอกไม้สวย ๆ แบบนี้ แถมอยู่ไม่ไกลจากเมืองโตเกียวอีกด้วยล่ะ
กำแพงหิมะขนาดใหญ่ ที่คนเมืองร้อนอย่างเราต้องอิจฉาเป็นแน่แท้ เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมากของบ้านเรา ไม่มีทางที่จะมีกำแพงหิมะแบบนี้ได้แน่ โดยที่นี่จะเริ่มเข้าชมได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนเลย ซึ่งเดือนเมษายนจะมีกำแพงหิมะสูงเป็นทางยาว แต่ถ้าหากไปในช่วงเดือนสิงหาคมน้ำแข็งอาจจะละลายลงไปบ้างแล้ว แต่ยังคงมีหิมะให้เล่นกันอยู่นะ เมื่อถึงช่วงตุลาคมถึงพฤศจิกายนก็จะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ดูแทนนั่นเอง ถ้าหากใครที่อยากไป แนะนำให้ลองเช็คจากเว็บไซต์ก่อน โดยเราสามารถเช็คตารางเวลาและตั๋วรถได้จากเว็บไซต์ได้เลย
เส้นทางซากุระที่ให้คุณได้ชมซากุระผสานความญี่ปุ๊นญี่ปุ่นด้วยรถไฟสาย Flower Nagai Line ซึ่งเป็นเส้นทางชมซากุระที่ยาวถึง 43 กิโลเมตร ที่สำคัญต้นซากุระที่นี่มีอายุยาวเป็นพัน ๆ ปีเลย
นอกจากจะนั่งรถไฟชมซากุระได้แล้ว ก็สามารถเช่าจักรยานชมซากุระตามจุดต่าง ๆ ได้เช่นกันนะ ถูกใจสายปั่นไปอีก แถมยังอยู่ในบริเวณที่มีออนเซ็นอีกด้วย ถ้าเที่ยวกันจนเหนื่อยก็แวะไปแช่ออนเซ็นผ่อนกายสบายใจได้
ภูเขาไฟโยเท ฝั่งเมืองนิเซโกะ ที่เราแนะนำให้ไปฝั่งนี้ช่วงนี้เลยนั่นก็เพราะว่า ที่นี่มีต้นซากุระสุดโด่งดังอยู่นั่นเอง ก็คือ Twin Cherry Trees ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนบุคคลหากต้องการชมความสวยงามทางการแนะนำว่าให้ชมที่ริมถนนแทน สวยเหมือนกันเลย
แต่นอกจากซากุระสองต้นนี้แล้ว เรายังสามารถขึ้นไปเที่ยวบนปากปล่องภูเขาไฟได้อีกด้วย ซึ่งข้างบนนั้นมีที่พักด้วยล่ะ สุดยอดไปเลย
ทุ่งดอกมากาเร็ตซึ่งมีความหมายว่าไข่มุกในภาษากรีก ทุกๆ กลางเดือนเมษยนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ที่สวนดอกไม้อุระชิม่า จังหวัดคะงะวะนี้ จะเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวเล็ กๆ น่ารัก ๆ แบบนี้ ให้นักท่องเที่ยวได้มาชม และผ่อนคลายไปกับกลิ่นหอมที่จะช่วยผ่อนคลายความกังวล ช่วยเยียวยาจิตใจของผู้คนที่มาที่นี่ได้
และหากเรามาเที่ยวในช่วงวันที่ 13 พฤษภาคม (วันที่แน่นอนต้องเช็คอีกครั้ง) ที่นี่จะเปิดให้เข้าไปเก็บดอกไม้ได้อีกด้วยล่ะ แต่ต้องเตรียมกรรไกรไปเอง ถ้าเราไปแล้วอยากจะเก็บดอกไม้น่ารัก ๆ นี้กลับมาด้วยก็ต้องไปให้ตรงวันนะ
ตามเรามา Unseen Japan เที่ยวญี่ปุ่น กันที่ จังหวัดยามากุจิ (Yamaguchi) กับภาพที่สวยอลังการตรงหน้ากับ เสาโทริอิสีแดงที่ตั้งตระหง่านเรียงรายหันหน้ามุ่งไปสู่ทะเล ที่ ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ หรือ Motonosumi Inari Shrine ทั้งสวยงามและมีมนต์ขลังจริงๆ ตามเรามารู้จักที่นี่กันค่ะ
เสาโทริอิสีแดงตั้งตระหง่านดูมีมนต์สะกด เรียงรายเป็นแถวอย่างสวยงามจากภูเขามุ่งหน้าไปจนถึงทะเลแห่งนี้คือ ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari Shrine) ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ และโด่งดังมากๆ แห่งหนึ่งของญี่ปุ่นค่ะ ซึ่งตั้งอยู่ที่ เมืองนากาโตะ (Nagato) ใน จังหวัดยามากุจิ (Yamaguchi) นั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องห้ามพลาดถ้าได้มาเที่ยวที่ยามากุจิกันเลยทีเดียว
Yangxiong / Shutterstock.com
ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ ได้แยกออกจาก ศาลเจ้าไทโกะดานิ อินาริ (Taikodani Inari Shrine) ในจังหวัดชิมาเนะ (Shimane) เมื่อประมาณ 60 ปีก่อน ตามตำนานต้นกำเนิดของศาลเจ้าแห่งนี้เล่ากันมาว่า เทพเจ้าได้แปลงกายเป็นสุนัขจิ้งจอกสีขาว ไปปรากฏกายในฝันของชาวประมงคนหนึ่ง เพื่อบอกให้ตั้งศาลเจ้าในพื้นที่นี้
ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ประทับของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยให้ผู้คนที่มาอธิษฐาน ประสบความสำเร็จในด้านเงินทอง โชคลาภ และการเดินทางปลอดภัย นั่นเองค่ะ
และความไม่เหมือนใครของศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือ กล่องรับบริจาค ที่จะตั้งอยู่บนเสาโทริอิซึ่งตั้งอยู่หน้าทางเข้าศาลเจ้า โดยศาลเจ้าอื่นๆ มักจะวางกล่องรับบริจาคไว้ที่พื้น ทำให้เป็นอีกจุดที่ทั้งชาวญี่ปุ่นเอง และนักท่องเที่ยวต่างก็ให้ความสนใจอย่างมากทีเดียวค่ะ โดยมีความเชื่อว่า หากโยนเหรียญลงกล่องรับบริจาคสำเร็จ สิ่งที่เราได้อธิษฐานขอจะประสบความสำเร็จดังที่ตั้งใจไว้อีกด้วย ทำให้ตรงนี้เป็นจุดที่ค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว มีนักท่องเที่ยวมาต่อคิวโยนเหรียญอธิษฐานกันมากมายเลยค่ะ
![]() | ![]() |
จุดที่พลาดไม่ได้เลยในการมาเที่ยวที่นี่ก็คือ การเดินไปตามแนวของเสาโทริอิที่มุ่งหน้าไปสู่ทะเลค่ะ เสาโทริอิสีแดงทอดตัวเป็นแนวยาวจำนวนถึง 123 ต้น เป็นระยะทางยาวประมาณ 100 เมตร และเมื่อเดินไปจนสุดทางของเสาโทริอิ เราจะได้พบกับวิวสวยอลังการของท้องทะเล และ Ryugu no Shiofuki หรือที่เรียกว่า น้ำพุปราสาทมังกร เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เกิดจากคลื่นบริเวณหน้าผาหินริมทะเล ได้กระทบตรงหน้าผา และดันน้ำทะเลให้พุ่งลอยขึ้นไปบนอากาศ สามารถพุ่งขึ้นได้ถึง 30 เมตรเลยค่ะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูกาลด้วย
TETSU Snowdrop / Shutterstock.com
จากสถานีรถไฟ Nagatoshi สามารถขึ้นรถไฟสาย JR San-in มายังสถานี Nagato Furuichi และนั่งรถแท็กซี่ต่อมาที่ศาลเจ้าอีกประมาณ 10 นาที
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวทรูไอดี วันนี้ NuvOHeritage อยากชวนเพื่อนๆมาเที่ยวญี่ปุ่น รับหน้าหนาว 2565 กันค่ะ สำหรับช่วงหน้าหนาวเราก็คงจะอยากไปสัมผัสอากาศเย็น เห็นหิมะกันใช่ไหมคะ ที่เที่ยวฮิตๆที่เราไม่ควรพลาด ขอแนะนำเพื่อนๆชาวเราให้ไปเที่ยวที่ ฮอกไกโด กันค่ะ มีวิวสวย บรรยากาศดีๆ อาหารทะเลสดๆ ขนมอร่อย และของที่ระลึกน่ารักๆ เช่น กล่องดนตรี มีพร้อมที่นี่แล้วค่ะ จะไปเที่ยวกินปูดูหมีตามมาเลยค่ะ ไกด์ NuvOHeritage พร้อมพาลูกทัวร์ชาวทรูไอดี ไปเที่ยวกันเลยค่ะ
1.Kyogoku Fukidashi Park
เมืองเคียวโกกุตั้งอยู่ที่เชิงเขาโยเทอิ หนึ่งในภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮอกไกโด ที่เรียกว่าเอโซะฟูจิ และ สวนฟุกิดาชิเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของพื้นที่ ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านบ่อน้ำแร่ บรรยากาศช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุม จะสวยงามไปอีกแบบ แตกต่างจากช่วงฤดูใบไม้ผลิและไบไม้เปลี่ยนสี มีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย และบรรยากาศที่สงบ เย็นสบาย เป็นสถานที่แรกที่อยากแนะนำให้ไปเยี่ยมชมกันค่ะ
Advertisement
2.Noboribetsu Bear Park
มาเที่ยวฮอกไกโดทั้งที ถ้าจะไม่มาเยี่ยมน้องหมี เดี๋ยวจะเท่ากับมาไม่ถึง เรามาแวะให้อาหารน้องหมีกันได้ค่ะที่ ศูนย์อนุรักษ์หมี Noboribetsu Bear Park เพื่อชมความน่ารักฉลาดแสนรู้ของหมีสีน้ำตาลนับ100 ตัวที่ใกล้สูญพันธุ์และหาดูได้ยาก ในญี่ปุ่นนี้จะพบเฉพาะบนเกาะฮอกไกโดเท่านั้น ชาวไอนุเชื่อกันว่าหมีสีน้ำตาลนี้ถือเป็นสัตว์เทพเจ้าของพวกเขาอีกด้วย ที่นี่ก็จะมีขนมและของที่ระลึกขายด้วยนะคะ แวะช๊อปปิ้งกันได้ค่ะ
3.Shikotsu-Toya National Park
ที่เมืองโนโบริเบทสึ เมืองตากอากาศที่โด่งดัง เป็นที่ให้เราสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ มีสถานที่ๆน่าสนใจ คือ อุทยานแห่งชาติชิค็อทสึ-โทยะ (Shikotsu-Toya National Park) ซึ่งจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ฮิตให้เราที่มาเยือนฮอกไกโดควรไปเข้าชมค่ะ ภายในอุทยานจะมีทะเลสาบโทยะที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟ พื้นที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นภูเขาสูงต่ำ โดยมีปากปล่องภูเขาไฟบางแห่งที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ สามารถสังเกตได้จากไอน้ำร้อนที่พุ่งออกมาเป็นควันขาว ดังนั้นที่นี่จึงเป็นแหล่งที่อาบน้ำแร่แช่ออนเซ็นชั้นเยี่ยมสำหรับนักท่องเที่ยว มีหุบเขานรกจิโกกุดานิ Jigokudani (Hell Valley) เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ซึ่งยังคงมีควันพวยพุ่งจากน้ำพุร้อนและบ่อโคลนเดือด เป็นที่มาของชื่อหุบผานรกนั่นเอง ยิ่งมาในช่วงหิมะตกก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากค่ะ
Advertisement
4.Shiroikoibito Park
ที่เมืองซัปโปโร เมืองใหญ่และสำคัญที่สุดของเกาะฮอกไกโด มีร้านที่ผลิตและจำหน่ายขนมและช็อคโกแลตชื่อดังของฮอกไกโดคือ ชิโร่ยโคอิบิโตะ คุ๊กกี้สไตล์ยุโรปประเภทหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็น ช็อคโกแลตแซนด์วิชประกบด้วย White Choc หรือ Black Choc สอดไส้ช็อคโกแลตนมตรงกลาง ซึ่งคนไทยรู้จักดี ซึ่งที่ร้านนี้จะทำเป็นสถานที่ให้เราเข้าชมทั้งภายในและภายนอกอาคารตกแต่งไว้สวยงามน่ารัก ที่เรียกกันว่า Shiroikoibito Park นอกจากคุ๊กกี้ที่เราจะซื้อไปเป็นของฝากกันได้แล้วทางร้านยังมีบริการขาย ขนม เครื่องดื่ม และไอศครีมหน้าตาน่าทานและรสชาติอร่อย ใครได้ไปทานรับรองจะติดใจ เพลิดเพลินกับของอร่อยกันแล้ว ก็ไม่วายต้องเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกกันค่ะ (ต้องขออภัยภาพด้านนอกถ่ายออกมาไม่ค่อยชัดมีมาฝากรูปเดียวค่ะ)
Advertisement
5.Sapporo Clock Tower
หนึ่งสัญลักษณ์ ที่เราควรมาเก็บภาพความประทับใจคือ Sapporo Clock Tower หรือ หอนาฬิกาโบราณโทเก็นได สถาปัตยกรรมสไตล์อเมริกันตะวันตกสร้างขึ้นในปี 1878 โดยมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ทุกชั่วโมงเสียงระฆังยังคงดังกังวานบ่งบอกความมีชีวิตชีวาของชาวฮอกไกโดได้เป็นอย่างดี มีความสวยงามแม้ในยามค่ำคืนค่ะ
6.Sapporo TV Tower
มาถึงเมืองซัปโปโร อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่น่าจะอยากเก็บภาพความประทับใจเอาไว้ คือ Sapporo TV Tower เป็นหอกระจายสัญญาณโทรทัศน์ของเมืองนี้นะคะ จะอยู่ใกล้กับสวนโอโดริ และตลาดนิโจค่ะ หอคอยนี้จะมีความสวยงามโดดเด่นเป็นสง่า ทั้งในช่วงเวลากลางวันและกลางคืนค่ะ เก็บภาพความประทับใจมาฝากกันค่ะ กลางคืนมีไฟสวยๆประดับเปลี่ยนสีได้ด้วยค่ะ
7.Hokkaido Jingu
มาถึงฮอกไกโด อีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญ ที่เราควรแวะมาสักการะ คือ Hokkaido Jingu หรือที่เรียกกันว่า ศาลเจ้าฮอกไกโด ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองซัปโปโรใกล้กับสวนมารูยามะ สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิเมจิใน ค.ศ.1869 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้แก่เทพเจ้าที่สำคัญ 3 องค์ตามความเชื่อของชินโต ชาวเมืองให้ความเคารพ มาขอพรในวันสำคัญๆ บรรยากาศในวัดสวยงามสงบร่มเย็นค่ะ วันที่มาเที่ยวมีคนมาทำพิธีแต่งงานด้วยนะคะ
8.Otaru Music Box Museum
สำหรับคนที่อยากซื้อกล่องดนตรีไปเป็นของฝาก มาซื้อได้ที่ Otaru Music Box Museum หรือ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี ค่ะ จะมีเสียงต้อนรับทุกๆ 15 นาที จากเสียงระฆังของหอนาฬิกาที่ตั้งเด่นอยู่หน้าอาคารที่ถูกสร้างขึ้นคู่กับเมืองโอตารุ ชมวิธีการผลิตกล่องดนตรีและเลือกซื้อกล่องดนตรีหลากหลายแบบหลากหลายขนาด หรือแม้แต่ออกแบบกล่องดนตรีของเราเองที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกก็ได้นะคะ
9.Mitsui Outlet Park
ก่อนจะกลับบ้าน แวะมาละลายเงินเยนที่นี่กันก่อนค่ะ แบรนด์เนมฮิตๆชื่อดังหลากหลายมากมาย ช๊อปกันให้กระจายซื้อของไปฝากญาติมิตร จัดไปๆที่ Mitsui Outlet Park ค่ะ หรือท่านที่ไม่ช๊อปก็แวะมาหาอาหารทานรองท้องก่อนไปสนามบินที่นี่ก็ได้นะคะ ร้านอาหารมีให้เลือกพอสมควรค่ะ
10.New Chitose Airport
อีกหนึ่งสถานที่ ที่เราสามารถมาละลายเงินเยนก่อนกลับบ้านได้อย่างแท้จริงก็คือที่สนามบิน New Chitose Airport ยังไงล่ะคะ มีทั้งขนมของกินของใช้ให้ซื้อฝากก่อนกลับบ้านค่ะ ขนมเค้ก LeTAO ที่มาเปิดขายที่ประเทศไทย ถ้าอยากซื้อแบบออริจินอลก็มาซื้อที่สนามบินได้ค่ะ ถ้าจะให้ดีพกกระเป๋าแบบเก็บความเย็นมาด้วยก็ดีนะคะ เก็บภาพโดราเอม่อนเมื่อตอนมาถึง (ขาเข้า) มาฝากด้วยค่ะ
หวังว่าคงพอเป็นแนวทางให้เพื่อนๆใช้ตัดสินใจ เผื่อใครอยากมาเที่ยวญี่ปุ่นรับหน้าหนาวกันนะคะ ฮอกไกโดเป็นเมืองที่สงบ สวยงาม มีของกินอร่อย เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการมาสัมผัสอากาศหนาวแน่นอนค่ะ
รวมภาพความประทับใจมาฝากอีกสักหน่อยค่ะ ขอบคุณเพื่อนชาวทรูไอดีที่น่ารักนะคะ
เมื่อพูดถึง ฮอกไกโด ผู้คนมักจะนึกถึงเกล็ดหิมะท่ามกลางอากาศหนาวเย็น และอาหารทะเลสด แต่ความจริงแล้ว เสน่ห์ของที่นี่ยังมีมากกว่านั้น ลองตามเรามาเที่ยว 12 ที่เที่ยวฮอกไกโด ญี่ปุ่น ทำความรู้จักกับพิกัดสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม และธรรมชาติที่สวยงาม ขอบอกว่าเที่ยวได้ตลอดทั้งปี สวยขนาดนี้ ไม่ไปไม่ได้แล้ว~
เช็กอินพิกัดแรกของ ซัปโปโร (Sapporo) เมืองหลวงของฮอกไกโดที่ โรงงานช็อกโกแล็ตชิโรอิ โคอิบิโตะ (Shiroi Koibito Park 白い恋人パーク) พิพิธภัณฑ์โรงงานช็อกโกแลตของ บริษัท Ishiya บริษัทช็อกโกแลตของท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะ คุ้กกี้ Shiroi Koibito คุกกี้เนยสอดไส้ไวท์ช็อกโกแล็ต ของฝากขึ้นชื่อของฮอกไกโดนั่นเองค่ะ ภายในอาคารสถาปัตยกรรมตะวันตกสวยงามนั้นจะเป็นสถานที่สาธิตกระบวนการผลิตขนมต่างๆ รวมถึงมีส่วนของเวิร์คช็อปให้ลองทำช็อกโกแล็ตและคุกกี้ด้วยตนเองด้วย และช็อปขายขนมมากมายให้เราได้ซื้อเป็นของฝากด้วยค่ะ
อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยวญี่ปุ่น Shiroi Koibito Park ที่เที่ยวซัปโปโร งานไฟสุดน่ารัก ช่วงหน้าหนาว
MANGKORNN / Shutterstock.com
หากเที่ยวช่วงหน้าหนาวก็จะมีโอกาสได้ชม งานไฟ Illumination ที่เนรมิตสวนด้านหน้าให้กลายเป็นดินแดนขนมสุดหรรษาท่ามกลางหิมะสีขาว และต้นคริสต์มาส ส่วนในช่วงฤดูร้อนนั้นจะเป็นช่วงเวลาของสวนกุหลาบสไตล์อังกฤษ โดยจะมีกุหลาบกว่า 200 ชนิด บานสะพรั่งท่ามกลางบรรยากาศแสนสดใสให้เราได้ชมกันค่ะ
Sean Pavone / Shutterstock.com
พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Sapporo Beer Museum サッポロビール博物館) แหล่งผลิตเบียร์ที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยเป็นโรงงานหมักและผลิตเบียร์คุณภาพชั้นยอดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1877 แถมยังผลิตส่งออกไปยังทั่วโลก แต่หลังจากปี ค.ศ. 1987 ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมเพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับเบียร์ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของเบียร์ซัปโปโร ตลอดไปจนถึงกระบวนการขั้นตอนการผลิตค่ะ
ป้อมโกะเรียวคาคุ (Goryokaku Fort 五稜郭タワー) ป้อมปราการรูปดาว 5 แฉกขนาดใหญ่ หนึ่งในแลนด์มาร์คของ เมืองฮาโกดาเตะ (Hakodate) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1866 หรือช่วงปลายยุคเอโดะ (Edo Period) บริเวณใจกลางป้อมจะเป็นที่ทำการของโชกุนผู้บริหารบ้านเมืองฮอกไกโดในสมัยก่อน ปัจจุบันได้พัฒนาให้กลายมาเป็นสวนสาธารณะ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คนในเมือง หากอยากชมความงามของป้อมปราการแบบเต็มๆ ตา ขอแนะนำให้ขึ้นไปบน หอคอยโกะเรียวคาคุ (Goryokaku Tower) หอคอยสูง 107 เมตร ที่สามารถชมเมืองฮอกไกโดได้แบบ 360 องศา รวมถึงป้อมปราการรูปดาวแห่งนี้ด้วย ไม่ว่าจะไปฤดูไหนก็จะได้ชมความงดงามที่แตกต่างกันออกไปค่ะ
โกดังอิฐแดงคาเนโมริ (Kanemori Red Brick Warehouse 金森赤レンガ倉庫) แหล่งช้อปปิ้งสุดเก๋ของฮาโกดาเตะที่ดัดแปลงมาจากโกดังของพ่อค้าผู้ร่ำรวยที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บสินค้าจากท่าเรือฮาโกดาเตะ ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์รวมร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขนมเอาไว้มากมาย แต่ยังคงแฝงไปด้วยกลิ่นอายสุดวินเทจของโกดังสินค้าแบบเก่าเอาไว้อยู่ สวยและมีเสน่ห์มากๆ
ใครที่ชื่นชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีม ขอแนะนำ นิเซโกะ (Niseko ニセコ町) เมืองสกีรีสอร์ทเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงสุดๆ ในเนื่องของลานสกีขนาดใหญ่ และเนินเขาสูง เหมาะกับการเล่น สกีหิมะ กีฬาสุดฮิตในช่วงฤดูหนาวแบบสุดๆ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะ เล่นสโนว์บอร์ด ขี่สโนว์โมบิล รวมถึงออนเซ็นอุ่นๆ ให้เราได้แช่คลายหนาวและความเมื่อยล้าท่ามกลางบรรยากาศสวยๆ ค่ะ
อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยวฮอกไกโด นิเซโกะ Niseko ที่เที่ยวญี่ปุ่น หน้าหนาว สวรรค์ของคนรักหิมะ
ฟาร์มโทะมิตะ (Farm Tomita ファーム富田) ไฮไลท์ของฮอกไกโดในช่วงหน้าร้อนระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน เราจะได้ชม ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ และดอกไม้สายพันธุ์ต่างๆ บานสะพรั่งเป็นแนวยาวไปตลอดเนินเขา โดยมีทิวทัศน์ของเทือกเขาขนาดใหญ่อยู่ตรงเบื้องหน้า นับว่าเป็นหนึ่งในทุ่งดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ค่ะ เมื่อไปแล้วก็อย่าลืมช้อปผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากดอกไม้ในสวน รวมถึงชิมไอศกรีมลาเวนเดอร์หอมละมุนด้วยนะ
อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยวฮอกไกโด ทุ่งลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ Farm Tomita ลั้ลล้าหน้าร้อน
โอตารุ (Otaru 小樽市) อีกหนึ่งเมืองมากเสน่ห์ของฮอกไกโด ที่มี คลองโอตารุ (Otaru Canal) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมือง และจะยิ่งสวยสุดๆ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และช่วงฤดูหนาวค่ะ หากคุณหลงรักในเสียงเพลงของกล่องดนตรี จะต้องไม่พลาด พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Music Box Museum) สถานที่จัดแสดงกล่องดนตรี รวมถึงจำหน่ายกล่องดนตรีแสนน่ารักหลากสไตล์ นอกจากนี้ยังมี ร้านคิตะอิจิ กลาส (Kitaichi Glass) ร้านที่ผลิตแผ่นทำกระจกและโคมไฟขึ้นชื่อของเมืองโอตารุ รวมถึง โบสถ์โทมิโอกะ (Tomioka Cathedral) ให้เราได้ไปชมด้วยเช่นกัน
อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยวญี่ปุ่น โอตารุ Otaru ที่เที่ยวฮอกไกโด เมืองน่ารักริมคลอง ฟังเสียงดนตรีเพลินๆ
เที่ยว เมืองบิเอะ (Biei) ชมความงดงามของ Shirogane Blue Pond (白金青い池) หรือ สระโออิเคะ (Aoi-ike) ที่แปลว่า “บ่อน้ำสีฟ้า” เกิดจากการสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันโคลนถล่มของภูเขาไฟในบริเวณเมืองบิเอะ ส่วนสีของบ่อน้ำนั้นเกิดจากอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ที่เกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟที่ตกตะกอนอยู่ในน้ำ เมื่อสะท้อนกับแสงแดดก็เกิดเป็นสีฟ้าสดใส สวยงามเป็นอย่างมาก
ทะเลสาบโทยะ (Lake Toya 洞爺湖) ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองฮาโกดาเตะ และเมืองซัปโปโร และเป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติชิกตสึ-โทยะ (Shikotsu Toya National Park) ซึ่งเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟเมื่อหลายแสนปีก่อน บริเวณใกล้ๆ ทะเลสาบจะเป็นที่ตั้งของ ภูเขาไฟอุซุ Mount (Usu) ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับมอด โดยเราสามารถนั่งกระเช้าเพื่อขึ้นไปชมวิวด้านบนภูเขาไฟได้ค่ะ
โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen 山渓苑) ออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอุทยานแห่งชาติชิกตสึ-โทยะ ในเขตเมืองซัปโปโร เพราะนอกจากเดินทางสะดวกแล้ว ยังมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม โอบล้อมไปด้วยป่าเขาและแม่น้ำลำธารที่ไหลผ่าน และจะสวยสุดๆ ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูหนาวค่ะ
เมืองเก่ามัตสึมาเอะ (Matsumae 松前町) ขึ้นชื่อว่าเป็น “เกียวโตแห่งทางเหนือ” (Kyoto of the North) เนื่องจากเป็นเมืองที่ยังคงแฝงไปด้วยกลิ่นอายของเมืองโบราณ โดยมี ปราสาทมัตสึมาเอะ (Matsumae Castle) เป็นสัญลักษณ์ของเมือง หอคอยปราสาทที่เราได้ชมในปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นราวต้นปี ค.ศ. 1960 ซึ่งรายล้อมไปด้วยสวนสาธารณะที่ปกคลุมไปด้วยต้นซากุระที่ผลิบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
อุทยานแห่งชาติไดเซสึซัง (Daisetsuzan National Park 大雪山国立公園) อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 2,267 ตารางกิโลเมตรกิน ตั้งแต่ทางตอนใต้ของ เมืองอาซาฮิคาวะ (Asahikawa) เมืองคามิคาวะ (Kamikawa) เมืองบิเอะ (Biei) ตลอดไปจนถึง เมืองฟูราโนะ (Furano) ลักษณะภูมิประเทศภายในอุทยานส่วนใหญ่จะเป็นเทือกเขาสูง โดยมียอดเขาสูงสุดคือ อะซาฮิดาเกะ (Asahidake) สูง 2,291 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในฮอกไกโด อีกทั้งยังได้รับการขนานนามว่าเป็น “หลังคาแห่งฮอกไกโด” อีกด้วย
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปยังด้านบนภูเขาเพื่อชมวิวสวยๆ รอบด้าน โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้เปลี่ยนสีค่ะ
เที่ยวญี่ปุ่น หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลบร้อนกับ 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรียกว่าถ้าไปแล้วไม่ได้เที่ยวถือว่าไปไม่ถึง
อยู่เมืองไทยในช่วงนี้มันรู้สึกร้อนแสนร้อน หลายคนคงกำลังวางแผนที่จะเดินทางไปเที่ยวหลบร้อนกันหลายประเทศ ซึ่งหนึ่งในตัวเลือกนั้นต้องเป็นดินแดนอาทิตย์อุทัย ต้นกำเนิดดอกซากุระอย่าง “ประเทศญี่ปุ่น” แน่นอน เพราะด้วยอากาศที่เย็นสบาย รวมทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างจากบ้านเรา ทำให้ญี่ปุ่นเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่หลายคนคิดอยากจะเดินทางไปเยือน วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยมาแนะนำ 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรียกว่าถ้าไปแล้วไม่ได้เที่ยวถือว่าไม่ถึงจ้า ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวจะมีอะไรบ้างนั้น ตามเราเลยจ้า… สามารถดู ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่น เพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
1. พระราชวังอิมพีเรียล
พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีก หนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน
ซึ่ง ภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ
2. โตเกียว ทาวเวอร์
โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอย สื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของ โลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย
3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ
ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า “กัสโช” หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการ ใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
4. ภูเขาฟูจิ
ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ภูเขาฟูจิเปิดอย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปปีน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ yokosojapan.org
5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ
เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่ง ท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่ สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม
6. โอซาก้า
เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan
แต่ ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร “คุอุดะโอะเระ” ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ
7. ปราสาทฮิเมะจิ
ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด
ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น
อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้ บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน
8. วัดโทไดจิ
วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญ ของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือ วิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)
9. ฮอกไกโด
ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของ ญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม
โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็น เมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้
เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส
10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ
เมืองฟุระโนะ ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดู หนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือน กันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคม ถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี
เรียกได้ว่า 10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เรานำมาฝากนี้ จะเป็นทางเลือกที่ดีในการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสักที่เลยจ้า
ศาลเจ้าเทพอินาริ (伏見稲荷大社, Fushimi Inari Shrine) ที่คนไทยทั้งหลายชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอกเป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto) นั่งเองล่ะค่ะ ถ้าจะพูดว่าศาลเจ้าแห่งนี้ฮอตฮิตมากที่สุดก็ไม่ผิดเลยนะคะ เห็นได้จากโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ต่างๆจะต้องมีภาพของที่นี่ให้เห็นอยู่เสมอ ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต(Kyoto) มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะเห็นรูปปั้นจิ้งจอกอยู่จำนวนมากภายในศาลเจ้านั่นเอง
ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีกนะคะ คาดกันว่าจะเป็นช่วงประมาณปีค.ศ. 794 หรือกว่าพันปีมาแล้ว นอกจากจะมีไฮไลท์อยู่ที่เสาประตูสีแดงแล้วนั้นตัวอาคารศาลเจ้าเองก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้ง Romon Gate ทางด้านหน้า และตัวอาคารหลักที่เรียกว่า Honden และยังมีส่วนประกอบศาลเจ้าที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง กระจายกันอยู่รอบๆบริเวณ และทางด้านหลังศาลเจ้าจะเป็นทางเดินขึ้นเขา ที่ปกคลุมไปด้วยเสาโทริอิ โดยเสาโทริอิสีแดงนั้นก็ล้วนมาจากการบริจาคจากส่วนต่างๆทั้งจากบุคคลและองค์กรเลยน่ะค่ะ สามารถสังเกตเห็นได้จากตัวหนังสือข้างหลังเสา โดยราคาเริ่มจากไม่กี่ร้อยเยนสำหรับเสาต้นเล็กๆ ไปจนถึงหลายล้านเยนสำหรับเสาต้นใหญ่ๆ
ไม่เพียงแค่ส่วนหลักๆที่น่าสนใจเท่านั้นนะคะระหว่างทางยังจะได้เห็นศาลเจ้าเล็กๆอยู่ตลอดทาง แม้กระทั่งเสาโทริอิแดงเล็กๆก็มีให้เห็นกันด้วยซึ่งก็มาจากคนทั่วไปที่แหล่ะค่ะที่จะบริจาคเล็กๆน้อยๆ นอกจากนั้นถ้าเหนื่อยแล้วก็ยังมีร้านอาคารท้องถิ่นและร้านขนมที่ขายอาหารแบบชุด แต่มีความพิเศษอยู่ตรงที่จะมีการตั้งชื่อให้เข้าธีมจิ้งจอกอย่างซูชิจิ้งจอกหรืออูด้งจิ้งจอก ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมายังมักจะนิยมเดินเที่ยวชมภูเขาอินาริแค่ถึงจุดชมวิวที่เรียกว่า ทางแยกโยซึซึจิ(Yotsutsuji intersection) เพื่อสามารถชมวิวเมืองเกียวโตงามๆและสูดอากาศสดชื่นได้เต็มปอดไปพร้อมๆกัน เพราะถ้าจะเดินให้ทั่วทั้งภูเขาแล้วเนี่ยอาจจะต้องใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่หลายคนอยากจะไปเที่ยวกันดูสักครั้ง ซึ่งหากใครมีโอกาสได้ไปแต่ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดี วันนี้เราก็มีสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตในญี่ปุ่นมาแนะนำเช่นกัน รับรองว่าจะต้องโดนใจคุณอย่างแน่นอน ไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีสถานที่เที่ยวแห่งไหนกันบ้าง
1.โตเกียว ดิสนีย์แลนด์
โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ สถานที่ท่องเที่ยวที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ต่างนิยมพากันจูงมือลูกหลานไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพราะที่นี่เป็นดั่งดินแดนในฝันของเด็กๆ กันเลยทีเดียว ซึ่งก็มีทั้งเครื่องเล่นสุดสนุกมากมาย ตัวการ์ตูนดิสนีย์ และการแสดงโชว์สุดตระการตา ที่หาชมได้ที่นี่เพียงที่เดียวเท่านั้น
2.พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชุราอูมิ
พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาเที่ยวญี่ปุ่น เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และมีสัตว์น้ำแปลกตาให้ได้ชมมากมาย ซึ่งใครที่ชมสัตว์น้ำในไทยจนชินตาแล้ว ก็ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปชมสัตว์น้ำแปลกๆ ที่ญี่ปุ่นกันบ้าง รับรองว่าเร้าใจและน่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว
3.ตึกอูเมดะสกาย
แลนด์มาร์คของญี่ปุ่น ที่หากไม่แวะมาชมถือว่าพลาดมาก เพราะที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองโอซาก้าได้ทั้งเมือง แถมตึกยังออกแบบด้วยดีไซน์ที่สวยแปลกตา ดูน่าสนใจเป็นที่สุด โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืนที่มีการเปิดไฟทั่วทั้งตึก จึงทำให้ที่นี่ดูสวยงามตระการตาเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าได้บรรยากาศในการชมวิวสุดๆ
4.โตเกียว ทาวเวอร์
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่เมื่อพูดถึงญี่ปุ่นเมื่อไหร่ก็จะต้องนึกถึงโตเกียว ทาวเวอร์ขึ้นมาในทันที ซึ่งก็มีการสร้างขึ้นมาด้วยสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นโบราณ ใช้สีแดงขาวเป็นเอกลักษณ์ และด้วยขนาดที่สูงมากจึงทำให้มองเห็นโดดเด่นมาแต่ไกลเลยทีเดียว ทั้งนี้ใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวโตเกียว ทาวเวอร์กันดู
5.ภูเขาฟูจิ
มาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที ก็คงต้องแวะไปเที่ยวที่ภูเขาฟูจิกันหน่อยแล้ว เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดยแนะนำให้นั่งรถไฟสายโทไกโดในการชมภูเขาฟูจิ ซึ่งจะมองเห็นภูเขาฟูจิได้สวยงามตาและชัดเจนเป็นอย่างมาก แต่หากใครอยากจะไปสัมผัสกับภูเขาฟูจิอย่างใกล้ชิดด้วยการปีนขึ้นไปบนยอดเขา ก็ต้องมาเที่ยวในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมเท่านั้น
6.ฮอกไกโด
พลาดไม่ได้เลยกับการไปเล่นสกีที่ฮอกไกโด ซึ่งคุณจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การเล่นสกีที่ไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน หรือจะมาชมซากุระในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมก็ได้เหมือนกัน โดยเป็นช่วงที่ดอกซากุระกำลังบานสะพรั่งและมีความสวยงามมากที่สุด
ใครที่กำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็ลองจัดสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ไว้ในลิสต์รายการของคุณกันดู ซึ่งก็รับรองเลยว่าคุณจะได้ประสบการณ์ที่เร้าใจและความทรงจำดีๆ กลับมาอย่างแน่นอน
ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า
ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้