Category Archiveเรื่องน่ารู้ของญี่ปุ่น

รวม 5 ที่เที่ยวในญี่ปุ่นยอดนิยมปี 2020 ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นักเดินทาง

อันดับที่ 1 ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) [เกียวโต]

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (伏見稲荷大社) เป็นที่รู้จักและโด่งดังจากเซ็มบงโทริอิ (千本鳥居) หรือซุ้มประตูสีแดงแบบญี่ปุ่นกว่าพันต้นที่เรียงรายทอดยาวตลอดเส้นทางเดินอันศักดิ์สิทธิ์ ในทุกปีมีผู้คนมากมายทั้งจากในและต่างประเทศแวะเวียนมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ เพื่อเก็บภาพความประทับใจของซุ้มโทริอิสีแดงสดที่งดงามราวกับเป็นผลงานชิ้นเอก ว่ากันว่าในช่วงฮัตสึโมเดะ (初詣, การเดินทางไปสักการะขอพรในช่วงวันปีใหม่ของญี่ปุ่น) มีผู้มาเยี่ยมเยียนศาลเจ้าฟูชิมิอินาริมากถึง 2,700,000 ล้านคน เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเกียวโตเทียบไม่น้อยหน้าศาลเจ้าเมจิ (明治神宮, Meiji Shrine) ในโตเกียวเลยทีเดียว

ไม่ว่าใครที่ได้แวะมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ก็คงอดรู้สึกฉงนไม่ได้ว่าทำไมที่นี่ถึงได้มีเสาโทริอิมากมายถึงเพียงนี้ ทฤษฎีหนึ่งอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะในสมัยก่อนมีแนวคิดว่าการ “เดินผ่าน” ซุ้มประตูโทริอิเหล่านี้จะนำพาให้คำขอ “ผ่าน” ไปถึงเหล่าเทพเจ้าได้ บ้างก็ว่าเสาแต่ละต้นเป็นเหมือนการสักการะแสดงคำขอบคุณต่อเทพเจ้าที่ได้ทำให้คำขอแต่ละข้อกลายเป็นจริงอีกด้วย

เนื่องจากพื้นที่สักการะบูชาของศาลเจ้าครอบคลุมไปทั่วทั้งภูเขาอินาริยามะ (稲荷山, Mount Inari) ด้วยทางเดินที่ทอดยาวกว่า 4 กิโลเมตร และไต่ระดับความสูงขึ้นไปถึง 233 เมตร จึงต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงในการเดินเที่ยวชม ซึ่งภายในพื้นที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริแห่งนี้มีทั้งจุดเที่ยวชมและศาลเจ้าเล็กใหญ่ให้แวะสักการะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้า กันริกิ (眼力社, Ganriki Shrine) ที่ตั้งขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งดวงตา ศาลเจ้าโอเซกิ (おせき社, Oseki Shrine) ที่มีไว้สักการะเทพเจ้าแห่งลำคอ หรือศาลเจ้ายากุริกิ (薬力社, Yakuriki Shrine) ที่ว่ากันว่าจะช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ที่มาสักการะบูชา และยังมีศาลเจ้าที่ให้โชคลาภและพรเกี่ยวกับสุขภาพอีกมากมาย

นอกจากการเดินผ่านเซ็มบงโทริอิ เส้นทางแห่งซุ้มประตูสีแดงแล้ว การมาสัมผัสฟูชิมิอินาริผ่านเส้นทางบนภูเขาที่เรียงรายไปด้วยศาลเจ้ามากมายนั้นก็เป็นความคิดที่ดีไม่น้อย ที่สำคัญ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริแห่งนี้ไม่มีเวลาปิดทำการ จึงสามารถมาสัมผัสประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ได้ตลอดทั้งวัน

อันดับที่ 2 พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Memorial Museum) [ฮิโรชิม่า]

พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่า (広島平和記念碑) เป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดฮิโรชิม่าที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1955 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงความเสียหายอย่างมหาศาลจากเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ภายในอาคารมีการจัดแสดงรูปถ่าย เอกสารข้อมูล ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ของผู้รอดชีวิต ไปจนถึงอนุสาวรีย์รำลึกถึงเหตุการณ์ระเบิดครั้งนั้นจำนวนมาก

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการจัดแสดงหุ่นที่จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหยื่อจากเหตุการณ์ระเบิด และรูปถ่ายของเด็กสาวที่ถูกไฟไหม้ เพื่อถ่ายทอดและเตือนใจผู้มาเยี่ยมชมถึงความโหดร้ายของโศกนาฏกรรมในครั้งนั้น นอกจากนี้แล้ว ภายในยังมีนิทรรศการที่ให้ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่นำมาสู่การทิ้งระเบิดในครั้งนั้นอีกด้วย

ผู้คนมากมายเดินทางมายังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพื่อเรียนรู้ถึงความโหดร้ายทารุณของสงคราม และเพื่อตระหนักได้ว่าความสงบนั้นล้ำค่าเพียงใด แม้ตัวโดมปรมาณูจะถูกล้อมรอบด้วยรั้วและไม่ได้เปิดให้เข้าไปเยี่ยมชม แต่ท่านสามารถรับชมอย่างใกล้ชิดจากบริเวณภายนอกรั้วได้ตลอดเวลา

อันดับที่ 3 เกาะอิทสึคุชิมะ และศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ (Itsukushima and Itsukushima Shrine) [ฮิโรชิม่า]

นอกเหนือจากหาดทรายขาวอามาโนะฮาชิดาเตะ (天橋立, Amanohashidate) ในจังหวัดเกียวโต และมัตสึชิมะ (松島, Matsushima) เมืองชายฝั่งในจังหวัดมิยากิแล้ว เกาะอิทสึคุชิมะ (厳島神社) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าเกาะมิยาจิม่า ยังเป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวที่กล่าวขานกันว่าสวยที่สุดและเป็นดั่งสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกอีกด้วย ด้วยความยาวโดยรอบเกาะเพียง 30 กิโลเมตร เกาะอิทสึคุชิมะแห่งนี้เป็นเกาะขนาดเล็กอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้รับการนับถือบูชาประหนึ่งเป็นเทพเจ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณเลยทีเดียว

ใจกลางเกาะแห่งนี้มีศาลเจ้าอิทสึคุชิมะที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 1,400 ปีก่อน โดยทุกปีมีนักท่องเที่ยวมากมายทั้งจากในและต่างประเทศหลั่งไหลกันเข้ามาเพื่อรับชมทิวทัศน์อันสวยงามของซุ้มประตูโทริอิที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ ภาพของโทริอิที่มองดูแล้วราวกับลอยอยู่กลางทะเลเมื่อยามน้ำขึ้นสูงนั้นเป็นที่ตราตรึงในใจของผู้ที่แวะเวียนมาเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากจะเพลิดเพลินไปกับภูมิทัศน์อันสวยงามแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถพบเห็นและเล่นกับกวางบนเกาะได้อย่างเสรี เหมือนกับที่สวนสาธารณะนารา อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดนาราอีกด้วย

อันดับที่ 4 วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) [นารา]

เสน่ห์ของวัดโทไดจิ (東大寺) อยู่ที่ความใหญ่โตตระการตาของศาลาไดบุตสึเด็น (大仏殿, Daibutsuden Hall) ที่ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ใจกลางวัด ด้วยความสูงถึง 15 เมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่วัดแห่งนี้มีประติมากรรมไดบุตสึ หรือพระพุทธรูปองค์ใหญ่สำหรับการกราบไหว้บูชาของพุทธศาสนิกชนประดิษฐานอยู่ ระหว่างเส้นทางจากประตูวัดไปสู่ศาลาไดบุตสึเด็น มีซุ้มประตูนันไดมง (南大門, Nandaimon Gate) ที่มีรูปปั้นเทพคงโกริคิชิ (金剛力士, Kongorikishi) คอยยืนอารักขาอยู่ทั้งสองข้างประตู ความยิ่งใหญ่ของรูปปั้นไม้ที่สูงตระหง่านถึง 25 เมตรนี้ สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้อย่างไม่รู้ลืม

วัดโทไดจินั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ของสวนสาธารณะนารา (奈良公園, Nara Park) ที่มีความกว้างถึง 5.02 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ทั้งหมดดูแลโดยจังหวัดนาราเอง และเปิดให้เข้าได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นอกจากตัววัดและสวนสาธารณะแล้ว เสน่ห์อีกหนึ่งอย่างของสถานที่แห่งนี้ก็คือ เหล่ากวางที่อาศัยอยู่ในสวนสาธารณะนารา ที่มักจะเล่นกับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นมิตร ปัจจุบันมีกวางในสวนแห่งนี้มากถึง 1,200 ตัว และได้รับการจัดให้เป็นสัตว์สงวนแห่งชาติของญี่ปุ่น

อันดับที่ 5 พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งฮาโกเน่ (The Hakone Open-Air Museum) [คานากาว่า]

ฮาโกเน่ (箱根, Hakone) เป็นสถานที่ที่คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับความงดงามของธรรมชาติได้ตลอดทั้งสี่ฤดูกาล พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้ใช้ความงามของธรรมชาตินั้น รังสรรค์เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1969 และพึ่งได้เฉลิมฉลองวันครบรอบ 50 ปี ไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2019 ที่พึ่งผ่านมา

จุดขายสำคัญที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมายังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ นิทรรศการประติมากรรมกลางแจ้ง ที่เปิดให้รับชมในพื้นที่โล่งกว้างภายนอก ภายในสวนสวยสีเขียวชอุ่มขนาด 70,000 ตารางเมตร ที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาแห่งเมืองฮาโกเน่นี้ มีผลงานศิลปะร่วมสมัยของช่างแกะสลักยอดฝีมือระดับโลกอย่าง Auguste Rodin, Antoine Bourdelle, Henry Moore, และศิลปินแห่งชาติของญี่ปุ่นอย่าง Taro Okamoto (岡本 太郎) จัดแสดงอยู่รวมถึงกว่า 120 ชิ้น

นอกจากโซนกลางแจ้งแล้ว ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีส่วนจัดแสดงผลงานภายในร่มอีกด้วย โดยมีไฮไลท์สำคัญคือ Picasso Pavillion ที่ได้รวบรวมคอลเล็คชั่นงานศิลปะของศิลปินทั่วโลกกว่า 319 ชิ้นมาจัดแสดงโดยพลัดเปลี่ยนกันไป นอกจากนี้ ที่นี่ยังมี ออนเซ็นน้ำพุร้อนและบ่อแช่เท้าภายในอาคาร ที่สามารถมาแวะพักผ่อนคลายได้อย่างเพลิดเพลินใจอีกด้วย

ตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่นง่ายๆ โดยกลยุทธ์คำนวณค่าใช้จ่ายด้วยเลข 0

ปัจจุบันการท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั้นง่ายแสนง่าย ทั้งตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกลง การยกเว้นวีซ่าสำหรับการท่องเที่ยวไม่เกิน 15 วัน อีกทั้งญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ปลอดภัย มีการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม จนเรียกได้ว่าใครๆ ก็สามารถเที่ยวญี่ปุ่นได้ ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมารองรับมากมาย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผู้เดินทางจำเป็นต้องเตรียมตัวด้วยตนเองซึ่งก็คือเรื่อง ‘เงิน’ นั่นเอง หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เราก็มี…วิธีการตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่นง่ายๆ โดยกลยุทธ์คำนวณค่าใช้จ่ายด้วยเลข 0 …มาฝากค่ะ

วิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่น

ขั้นตอนที่ 1: วางแผนการท่องเที่ยว
อย่างแรกเลยเราควรวางแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ ก่อนค่ะ เพื่อที่จะได้เริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายได้ถูก โดยมีหัวข้อที่ต้องคำนึงถึงดังต่อไปนี้

  1. กำหนดช่วงเวลาในการท่องเที่ยว
    เพื่อให้ทราบว่ามีสถานที่ใดที่ควรจะไปเยือนบ้าง เพราะในแต่ละฤดูก็มีไฮไลท์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ช่วง High Season อย่าง ซากุระ ใบไม้ร่วง หรือปีใหม่ ค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่พักก็จะแพงกว่าปกติค่ะ
  2. กำหนดระยะเวลาในการท่องเที่ยว
    เพื่อให้สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายรายวัน อย่างพวกค่าอาหาร ค่าโรงแรมที่พัก รวมถึงค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งทริป
  3. กำหนดเมืองที่ต้องการเดินทางไป
    เพื่อกำหนดค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งตั๋วเครื่องบินจากไทย การเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนค่าโรงแรมที่พัก และค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ

ขั้นตอนที่ 2: คำนวณค่าใช้จ่ายตัวเลขด้วยเลข 0
การคำนวณงบประมาณเป็นอีกเรื่องที่หลายคนถกเถียงกันว่าควรตั้งเป็นเงินบาทหรือเงินเยน ที่จริงแล้วก็มีข้อดีแตกต่างกันไปค่ะ หากคำนวณด้วยเงินบาท เราจะประเมินได้ว่าถูกหรือแพงและรู้ตัวเลขเงินบาทในทุกรายละเอียด แต่การคำนวณด้วยเงินเยนจะสะดวกกว่า เนื่องจากว่าไม่ต้องนั่งคำนวณเป็นเงินบาททุกอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เราจะก็ใช้เงินกันในญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดจึงมาในรูปแบบเงินเยน

ในการคำนวณนั้น เราเพียงแค่รวบรวมค่าใช้จ่ายในญี่ปุ่นทั้งหมดแล้วคำนวณเป็นเงินบาทภายในครั้งเดียวแล้วมาบวกกับค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ (เราใช้วิธีนี้ตลอดค่ะ) รวมถึงการนำหลักการคำนวณด้วยเลข ‘0’ มาใช้ ซึ่งจะปัดเศษให้สูงขึ้นเป็นเลขกลมๆ เพื่อสะดวกต่อการคำนวณและเป็นการเผื่องบไม่ให้ขาดด้วยค่ะ โดยจะปัดเศษที่หลักร้อยหรือหลักพันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของเพื่อนๆ เลยค่ะ ซึ่งเราจะขอแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 6 ส่วนดังนี้

  1. ตั๋วเครื่องบิน (ไป–กลับ)
    สายการบิน Low Cost 10,000 (±2,000) บาท ราคานี้รวมค่าโหลดกระเป๋าและประกันการเดินทาง แต่ไม่รวมค่าอาหาร (บินกลางคืนจะได้หลับสนิท)
    สายการบิน Full Service (Economy) 20,000 บาท ปัจจุบันโปรโมชั่นอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 18,000 บาท (ราคาเกิน 20,000 บาท ถือว่าค่อนข้างแพงค่ะ นอกจากว่าจะเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของคนไทย เช่น สงกรานต์ ปีใหม่ เป็นต้น)
    ※สายการบินจากไทยไปญี่ปุ่นนั้นมีให้เลือกหลายสายการบิน นอกจากนี้สายการบิน Full Service ก็ยังแบ่งได้ว่าเป็นบินตรงและแบบแวะพัก ซึ่งสามารถดูรายชื่อสายการบินและเส้นทางคร่าวๆ ได้ที่ » แนะนำเส้นทางบินไปญี่ปุ่น & สายการบินไปญี่ปุ่น
  2. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางในประเทศ
    คำนวณค่าโดยสารรถไฟรวมถึงพาส (บัตรเหมา) หรือรถบัสสำหรับการเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเราจะรู้ได้ว่าควรจะใช้พาสไหน ก็ต้องวางแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ มาก่อนนะคะ เบื้องต้นขอยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการเดินทางดังนี้

JR Rail Pass (7 Days) 29,110 เยน (ตีเป็น 30,000 เยน) ⇒ 9,000 บาท/คน
Tokyo Wide Pass (3 Days) 10,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คน
Tokyo Subway Ticket (24 Hours) 800 เยน (ตีเป็น 1,000 เยน) ⇒ 300 บาท/คน
Osaka Amazing Pass (1 Day) 2,500 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท/คน
วันที่ไม่ใช้พาส/ไปนอกเหนือเส้นทางพาส 1,000 – 2,000 เยน ⇒ 300 – 600 บาท/วัน/คน
ขับรถเที่ยว ค่าเช่ารถ+ประกันภัย (รถนั่ง 4 คน) เริ่มต้นวันละ 12,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คัน
※สามารถใช้เว็บไซต์ Hyperdia.com เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารรถไฟ หรือ Google Map เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารในเส้นทางได้ค่ะ

  1. ค่าโรงแรมที่พัก
    โรงแรมและที่พักในญี่ปุ่นมีหลายราคาหลายระดับ คนที่เน้นประหยัดก็แนะนำให้พักที่โฮสเทลหรือโรงแรมแคปซูล ส่วนคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบก็แนะนำเป็นโรงแรมธุรกิจแบบตะวันตกค่ะ

โฮสเทล (ห้องรวม)/โรงแรมแคปซูล 3,000 เยน ⇒ 900 บาท/คืน/คน
โรงแรมธุรกิจแบบตะวันตก (3 ดาว) ห้อง 2 คน 3,000 – 5,000 เยน ⇒ 900 – 1,500 บาท/คืน/คน
โรงแรมห้องญี่ปุ่น (เรียวกัง) 10,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คืน/คน
โรงแรม/รีสอร์ทขนาดใหญ่ 10,000 – 15,000 เยน ⇒ 3,000 – 4,500 บาท/คืน/คน
※สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ » รูปแบบโรงแรมที่พักในญี่ปุ่น

  1. ค่าอาหารรายวัน
    อาหารทั่วไป/จานด่วน+เครื่องดื่ม มื้อละ 1,000 เยน ⇒ 300 บาท/มื้อ
    อาหารทะเล/เป็นเซ็ต+เครื่องดื่ม มื้อละ 1,500 เยน ⇒ 450 บาท/มื้อ
    น้ำเปล่า/ชาเขียว/น้ำผลไม้/น้ำอัดลม ขวดละ 100 – 200 เยน ⇒ 30 – 60 บาท/ขวด
    ขนม/ของว่าง ราคามีหลากหลาย อาจจะเผื่อไว้ 1,000 เยน ⇒ 300 บาท/วัน
    ※กรณีที่จะรับประทานมื้อใหญ่ หรือจัดเลี้ยงในกลุ่ม อาทิ ร้านเนื้อย่าง ร้านซูชิอย่างดี อิซากายะ (ร้านเหล้า) บุฟเฟ่ต์ที่ราคาสูงควรเตรียมเงินไว้ต่างหาก โดยสามารถดูราคาอาหารโดยเฉลี่ยของแต่ละประเภทได้ที่ » ค่าครองชีพด้านอาหารการกินในประเทศญี่ปุ่นแบบละเอียดสำหรับตั้งงบเที่ยว โดยเฉลี่ยราคาประมาณ 5,000 – 6,000 เยน ⇒ 1,500 – 2,000 บาท/มื้อ/คน
  2. ค่าเข้าชมสถานที่
    ค่าเข้าชมหลักๆ จะไปหนักอยู่ที่ค่าเข้าสวนสนุกค่ะ รองลงมาก็เป็นพวกพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สามารถเที่ยวได้ทั้งวัน รวมถึงจุดชมวิวบนหอคอยหรือตึกสูง ส่วนค่าเข้าชมวัด ศาลเจ้าและปราสาทก็จะอยู่ที่ละไม่เกิน 1,000 เยน ⇒ 300 บาทค่ะ

Universal Studios Japan (USJ) 7,900 เยน (ตีเป็น 8,000 เยน) ⇒ 2,400 บาท
Tokyo Disneyland/Tokyo DisneySea 7,400 เยน (ตีเป็น 8,000 เยน) ⇒ 2,400 บาท
Tokyo Skytree (TEMBO DECK) 2,060 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท
Osaka Aquarium KAIYUKAN 2,300 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท
Osaka Castle 600 เยน (ตีเป็น 1,000 เยน) ⇒ 300 บาท
Kiyomizu Temple 400 เยน (ตีเป็น 500 เยน) ⇒ 150 บาท

  1. ค่าช้อปปิ้ง
    ค่าใช้จ่ายสำหรับการช้อปปิ้งนั้นขึ้นอยู่กับกิเลสของแต่ละคนเลยค่ะ ในที่นี้เราจะขอยกราคาคร่าวๆ ของสินค้าที่นักท่องเที่ยวชอบซื้อเพื่อประกอบการตัดสินใจนะคะ

ขนมของฝากในสนามบิน ประมาณ 1,000 – 2,000 เยน ⇒ 300 – 600 บาท/กล่อง
ขนมทั่วไป เช่น ช็อคโกแลต ประมาณ 100 – 500 เยน ⇒ 30 – 150 บาท/กล่อง,ถุง
กระเป๋าเป้ทรงยอดฮิต ประมาณ 5,000 – 6,000 เยน ⇒ 1,500 – 1,800 บาท/ใบ
รองเท้าผ้าใบลำลอง ประมาณ 10,000 – 15,000 เยน ⇒ 3,000 – 4,500 บาท/คู่
เครื่องสำอางในร้านขายยา ประมาณ 1,000 – 3,000 เยน ⇒ 300 – 900 บาท/ชิ้น
※ร้าน Duty Free (หลังจากที่ผ่านต.ม.แล้ว) จะไม่มีภาษี แต่ร้านที่อยู่ด้านนอกในสนามบินจะมีภาษี 8% นะคะ แนะนำว่าให้อดใจเข้าไปช็อปด้านในจะดีกว่า นอกจากว่าจะเป็นร้านที่มีสิทธิ์ Tax Free ซึ่งซื้อครบ 5,000 เยน ⇒ 1,500 บาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีค่ะ
※สำหรับห้างสรรพสินและร้านค้าในเมือง ก็มีร้านที่เป็น Tax Free เช่นกันค่ะ โดยจะมีแปะป้ายไว้หน้าร้านเลย
※สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ » ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี?…21 ไอเดียของฝากน่าซื้อจากญี่ปุ่น ของยอดฮิตที่ห้ามพลาด!

11 ต.ค. นี้ ไทยเที่ยวญี่ปุ่นเองได้ ไม่ต้องผ่านทัวร์ ไม่ต้องมีวีซ่า พร้อมเงินอุดหนุนที่พักจากรัฐ 11,000 เยนต่อคนต่อคืน

หลังละล้าละลังอยู่นาน ในที่สุดญี่ปุ่นก็เปิดประเทศอย่างเต็มตัว!

เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์หลังเข้าร่วมการอภิปรายทั่วไปประจำปีของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติว่า ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคมเป็นต้นไป ญี่ปุ่นจะยกเลิกการจำกัดจำนวนนักเดินทาง พร้อมทั้งเปิดฟรีวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวบางประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนคลายมาตรการควบคุมชายแดนจากโควิด

คิชิดะยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลจะผ่อนปรนมาตรการควบคุมชายแดนเพิ่มเติม เพื่อให้ขั้นตอนการเข้าประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนกับประเทศในกลุ่ม 7 ประเทศ ทั้งยังจะเริ่มโครงการเงินอุดหนุนทั่วประเทศอีกครั้งในกำหนดวันเดียวกัน ‘Go to Travel’ จะเป็นโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจำนวน 11,000 เยน แก่นักท่องเที่ยวสำหรับการเข้าพักในโรงแรมต่อคนต่อคืน

ญี่ปุ่นตั้งเป้าฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับขึ้นมาเป็นอับดับ 3 ของโลกอีกครั้ง หลังได้รับผลกระทบหนักจากการขาดการท่องเที่ยวในช่วงการระบาดของโควิด

ในปี 2019 ก่อนการระบาดใหญ่ ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวมาเยือนทั่วโลกปีละ 31.9 ล้านคน คิดเป็น 2 ล้านคนต่อเดือน องค์การการท่องเที่ยวญี่ปุ่นระบุว่า ตัวเลขรายเดือนสำหรับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 169,800 คนเท่านั้น

อย่างไรก็ดี นักเดินทางที่มีแผนเดินทางไปญี่ปุ่นหลังวันนี้ 11 ตุลาคมเป็นต้นไป กรุณาศึกษาเงื่อนไขให้ละเอียดถี่ถ้วนสำหรับการเข้าร่วมโครงการ Go to Travel

วันนี้วันอะไร วันแห่งการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม

วันแห่งการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม เป็นวันที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศญี่ปุ่น เพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น

รู้หรือไม่ ทุกวันที่ 16 พฤษภาคมเป็น “วันแห่งการท่องเที่ยวญี่ปุ่น” ซึ่งก่อตั้งขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น โดยในวันนี้จะมีการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวในด้านต่าง ๆ และยังมีนโยบายรวมถึงแพ็คเกจเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว

สรุป 5 มาตรการใหม่ เที่ยวญี่ปุ่น เปิดประเทศเต็มรูปแบบ 11 ต.ค. 2565

  เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะรู้ข่าวดีที่ว่าประเทศญี่ปุ่นกลับมาเปิดประเทศเต็มรูปแบบแล้ว เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. 2022 และรีบกดจองตั๋วเครื่องบินกันแบบไม่คิดชีวิต ซึ่งวันนี้ทางที่ประชุมของเลขาธิการคณะรัฐมนตรี รัฐบาลญี่ปุ่น ได้ออกมาประกาศรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับมารตรการผ่อนปรนการเดินทางเข้าญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ โดยมีเนื้อหาดังต่อนี้

5 มาตรการใหม่ ผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น เริ่ม 11 ต.ค. 2022

1. ข้อกำหนดเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าญี่ปุ่น

  • ให้ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าญี่ปุ่น ไม่ต้องยื่นเอกสาร ERFS ที่ออกโดยบริษัททัวร์/บริษัทแลนด์โอเปเรเตอร์ในประเทศญี่ปุ่น
  • ยกเลิกข้อกำหนดที่ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องใช้บริการแพ็คเกจทัวร์เท่านั้นจึงจะเข้าญี่ปุ่นได้

2. เริ่มใช้มาตรการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง

     ให้กลับมาใช้มาตรการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง

3. การผ่อนปรนเรื่องการตรวจเชื้อโควิด

     ไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิดในขณะที่อยู่ในระหว่างกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่ญี่ปุ่น (ยกเว้นผู้ที่มีอาการของโรคโควิด) อย่างไรก็ตาม ผู้เดินทางจำเป็นต้องสำแดงเอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง 

  • ใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด (3 เข็ม) ยี่ห้อตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเอาไว้ในรายการใช้ในกรณีฉุกเฉิน (จะมีการประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับจุดนี้ในภายหลัง) หรือ
  • ใบรับรองผลตรวจโควิดเป็นลบที่ตรวจภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางจากประเทศไทย

4. การผ่อนปรนเรื่องจำนวนคนที่อนุญาตให้เดินทางเข้าญี่ปุ่น

     ยกเลิกข้อกำหนดฉบับล่าสุดที่ว่า อนุญาตให้มีผู้เดินทางเข้าญี่ปุ่นโดยรวมได้สูงสุด 50,000 คนต่อวัน

5. การให้สนามบิน ท่าเรือกลับมาเปิดรับการเดินทางจากต่างประเทศ

     ให้สนามบินรวมไปถึงท่าเรือที่ในปัจจุบันยังไม่ได้เปิดรับการเดินทางจากต่างประเทศ ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นต่างๆในการดำเนินการเตรียมตัวเปิดรับเที่ยวบิน และเส้นทางเดินเรือจากต่างประเทศ และเมื่อเตรียมการดังกล่าวพร้อมแล้ว ให้ดำเนินการเปิดรับการเดินทางจากต่างประเทศต่อไป

เที่ยวญี่ปุ่นกับ “10 แหล่งท่องเที่ยวสุดสวยในโทโฮขุ”

ญี่ปุ่น นั้นเป็นดินแดนที่น่ามาท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่แสนจะสวยงามอยู่มากมายหลายจุดด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็คือภูมิภาคตอนเหนือของเกาะหลักฮอนชู อย่าง ภูมิภาคโทโฮขุ ที่เคยโดยภัยพิบัติครั้งใหญ่จากคลื่นสึนามิถล่ม แต่ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง และสำหรับ 10 แหล่งท่องเที่ยวสุดสวยในโทโฮขุ ที่นักท่องเที่ยวต้องไม่พลาดแวะมาเที่ยวชมเมื่อมีโอกาสมายังภูมิภาคแห่งนี้แล้ว ก็มีหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจดังนี้

ฮิโรซากิ

ฮิโรซากิ

ฮิโรซากิ นั้นเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่อย่างมากอีกเมืองหนึ่งในอาโอโมริ โดยมันเป็นเมืองป้อมปราการมาตั้งแต่สมัยเอโดะ และมีความโดดเด่นอย่างมากจากปราสาทฮิโรซากิที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งในอดีตเป็นศูนย์บัญชาการในการปกครองของตระกูลทสึงะรุ โดยปราสาทแห่งนี้นั้นเป็นปราสาทเก่าแก่ที่ยังคงสภาพเดิมๆ มาจนถึงทุกวันนี้เพราะไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ใดๆ เลย ซึ่งภายในปราสาทในปัจจุบันก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และจัดแสดงสิ่งของต่างๆ มากมายของเหล่านักรบซามูไร

ปราสาทฮิโรซากิ

ส่วนทางด้านของสวนหน้าปราสาทนั้นก็มีความสวยงามด้วยต้นซากุระจำนวนกว่า 2,500 ต้นเลยทีเดียวและมันจะผลิดอกพร้อมๆ กันอย่างสวยงามในเดือนเมษายน และเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่ผลิตแอปเปิ้ลออกมามากที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วยส่วนการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นนั้นสามารถใช้บริการรถไฟเจอาร์ มาลงยังสถานีรถไฟฮิโรซากิ ก็จะสัมผัสกับบรรยากาศของเมืองซามูไรแห่งนี้แล้ว

ฮิระอิซุมิ

ฮิระอิซุมิ

ฮิระอิซุมิ นั้นถือว่าเป็นเมืองมรดกโลกแห่งล่าสุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในจังหวัดอิวาตะ และเป็นเมืองที่ไม่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติใหญ่ในภูมิภาคโทโฮขุแต่อย่างใด โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่หลายแห่งที่น่าสนใจมาท่องเที่ยวทั้ง วัดชูซอน-จิ เคอิได ที่มีสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นที่สวยงามอย่างมาก

วัดโมสึ-จิ

แต่กลับกันกับวัดโมสึ-จิ ที่จะมีความสวยงามด้วยสวนญี่ปุ่นที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยเฮอัน และขึ้นชื่อว่าเป็นสวนญี่ปุ่นที่งดงามมากที่สุดอีกแห่งของญี่ปุ่น

ภูเขาคินเคอิซัน

ทางด้านของภูเขาคินเคอิซัน ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยจะมีเจดีย์ 5 ชั้นซึ่งเป็นจุดที่บ่งบอกตำแหน่งของสุสานภรรยาของ มินาโมโตะโนะ โยชิสึเนะ ซึ่งเขาคือวีรบุรุษที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักกันเป็นอย่างดีส่วนทางด้านของยานากิโนะโกโช และ ฮิระอิซุมิ อิเซคิ-กุน นั้นชาวญี่ปุ่นก็เชื่อกันว่าเป็นที่พำนักของฟูจิวาระ โนะ คิโยฮิระ และครอบครัวของเขา ส่วนการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้น คุณสามารถใช้บริการของรถไฟ เจอาร์ โทโฮคุ ชินคันเซน โดยมาลงที่สถานีอิจิโนะเซคิ ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศเก่าแก่ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้แล้ว

ไอสุวาคามัตสึ

ปราสาททสึรุงะ


ไอสุวาคามัตสึ ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวขนาดเล็กที่มีความสวยงามของธรรมชาติอย่างมาก โดยตั้งอยู่ในจังหวัดฟุกุชิมะ ภายในตัวเมืองนั้นโดดเด่นด้วยตัวปราสาททสึรุงะ ที่เป็นของไดเมียวตระกูลอะชินะ โดยได้รับการปรับปรุงเรื่อยมากจนปัจจุบันทีความสูง 5 ชั้น และเป็นปราสาทที่มีความสำคัญอย่างมากในหน้าประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นจากสงครามไอซุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสมรภูมิของสงครามโบชิน สมัยช่วงปลายๆ การปกครองของระบอบโชกุน โดยปราสาทแห่งนี้โดดเด่นด้วยกระเบื้องสีแดง และได้รับฉายาว่า ปราสาทนกกระเรียน โดยรอบๆ ปราสาทนั้นจะมีต้นซากุระปลูกอยู่จำนวนมากเลยทีเดียว และสวยงามอย่างมากเมื่อดอกซากุระบาน

ภูเขา Iimori

นอกจากนี้แล้วก็มี Aizuwakamatsu City Hall ซึ่งเป็นรูปแบบของอาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรปส่วนสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามก็คือภูเขา Iimori ที่นับว่ามีธรรมชาติที่งดงามเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติที่ได้รับความนิยมและเป็นแหล่งแช่ออนเซ็นที่เก่าแก่อีกแห่ง

อิวากิ

Aquamarine Fukushima


อิวากิ ถือว่าเป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก โดยตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีประชากรอาศัยอยู่มากนัก และเป็นจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นให้ความนิยมอย่างมาก โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างมากหลายแห่งด้วยกันทั้งในส่วนของ Aquamarine Fukushima ที่เป็นแหล่งรวมพันธุ์ปลาหายากมากที่สุดของญี่ปุ่น

Iwaki Marine Tower

ส่วนทางด้านของ Iwaki Marine Tower นั้นก็เป็นจุดที่คุณสามารถชมความสวยงามของเมืองอิวากิได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว นอกจานกี้แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกที่มีความงดงามทั้ง Iwaki Yumoto Onsen ซึ่งเป็นแหล่งออนเซ็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

Spa Resort Hawaiian

โดยมี Spa Resort Hawaiian เป็นอีกสวนน้ำขนาดใหญ่ที่มีความครบวงจรอย่างมากส่วนการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟ JR East สาย Joban Line จากหลายๆ เมืองมาลงยังสถานีรถไฟ Iwaki Station ก็จะถึงแล้ว

อาโอโมริ

อาโอโมริ


อาโอโมริ นั้นเป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชู โอบล้อมไปด้วยทะเลทั้งสามด้าน โดยเป็นเมืองที่มีความสวยงามทางด้านธรรมชาติอย่างมาก โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจทั้งอุทยานแห่งชาติ Hachimantai และ Towada

ทะเลสาบ Towada

ส่วนที่ทะเลสาบ Towada ที่เกิดจากภูเขาไฟนั้นมีความสวยงามอย่างมาก และมีความลึกเป็นอันดับสามของญี่ปุ่นที่ความลึก 327 เมตร นอกจากนี้แล้วที่ สถาบันวิจัยแอปเปิ้ล ก็นับว่าน่ามาท่องเที่ยวเพราะคุณจะได้สัมผัสกับแอปเปิ้ลมากมายหลายสายพันธุ์

เทศกาลอาโอโมริเนบุตะ

ส่วนบรรดาเทศกาลที่น่าสนใจของเมืองแห่งนี้ก็มีทั้งเทศกาลอาโอโมริเนบุตะ หรือจะเป็นเทศกาลเนบุตะ ส่วนการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟชินคันเซ็น จากโตเกียว ได้เลย นับว่าเป็นเมืองหลักอีกเมืองที่น่าสนใจมาท่องเที่ยวและเป็นอีกจุดที่สามารถเชื่อต่อไปยังภูมิภาคฮอกไกโดได้ด้วย

อะคิตะ

อะคิตะ


อะคิตะ นั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคโทโฮขุ นับว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของญี่ปุ่น และยังเป็นแหล่งผลิตเหล้าญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่ออย่างมากอีกด้วย เพราะภูมิประเทศนั้นมีป่าไม้สนจำนวนมากมาย

ทะเลสาบทะซะวะ

และมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาดอย่างมากโดยมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั้งทะเลสาบทะซะวะ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีความลึกมากที่สุดของญี่ปุ่นส่วนชายฝั่งทางด้านตะวันตกนั้นจะมีรูปปั้นสีทองของเจ้าหญิงทะจึโกะ ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานของญี่ปุ่น ส่วนของอุทยานแห่งชาติโทวะดะ ฮะจิมันไต นั้นก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากและสวยงามน่ามาท่องเที่ยว ส่วนภายในเมืองนั้นจะมีปราสาทคุโบตะ ที่สวยงามและมีร้านค้ามากมายรายล้อมในสมัยเอโดะ

สถานี Akita

ส่วนเทศกาลสำคัญในจังหวัดแห่งนี้นั้นก็มีทั้งเทศกาลคันโต ทางด้านของการเดินทางมายังที่นี่นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟสาย JR Akita Shinkansen โดยมาลงที่สถานี Akita ก็ถือว่าถึงแล้ว

ยามากาตะ

ยามากาตะ

ยามากาตะ นั้นเป็นเมืองทางใต้สุดของภูมิภาคโทโฮขุ โดยมีบริเวณติดกับทะเลญี่ปุ่น เป็นอีกเมืองที่ไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงในเรื่องของการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเท่าใดนัก แต่ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติที่งดงามและเป็นแห่งการแช่ออนเซ็นรักษาโรคที่มีชื่อเสียงอย่างมากอีกแห่งในหมู่นักท่องเที่ยว และมีความนิยมจัดทัวร์มาเพื่อแช่ออนเซ็นโดยเฉพาะอีกด้วย

วัดยามาเดระ

ส่วนที่ ภูเขา Dewa Sanzan ก็นับว่ามีความสวยงามของธรรมชาติและมีเส้นทางในการเดินชมธรรมชาติที่น่ามาท่องเที่ยวอย่างมาก โดยมีวัดยามาเดระ ที่มีความสูงอย่างมาก เพราะคุณต้องเดินขึ้นบันไดไปกว่าพันขั้น ก็จะมาพบกับความสวยงามของวัดแห่งนี้ โดยการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟ JR จาก สถานี Tokyo Station โดยมาลงยังสถานี Yonezawa Station

มัตสึชิม่า

มัตสึชิม่า


มัตสึชิม่า เป็นเมืองที่ประสบกับภัยพิบัติอย่างหนักในเหตุการณ์เมื่อปี ค.ศ.2011 แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว โดยความสวยงามของอ่าวมัตสึชิม่า ที่ได้รับการยกย่องกันว่าเป็น 1 ใน 3 ของอ่าวที่มีความสวยงามอย่างมาก

ศาลเจ้า Jikaku Daishi

ส่วนที่ศาลเจ้า Jikaku Daishi นั้นก็นับว่าเป็นศาลเจ้าที่น่าสนใจและถูกสร้างโดย ดาเตะ มาซามูเนะ ไดเมียวที่มีชื่อโด่งดังของเซนได โดยศาลเจ้าจะเปิดให้เข้าชมทุกๆ 33 ปี

ศาลเจ้า Godaido

โดยที่ศาลเจ้า Godaido นั้นนับว่ามีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างมาก ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างมากก็คือการล่องเรือเที่ยวชมความสวยงามของอ่าวแห่งนี้ โดยจะพาคุณผ่านเกาะ Kanejima หรือเกาะระฆัง ที่สวยงาม

Michinoku Date Masamune Rekishikan

นอกจากนี้แล้วอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาเที่ยวชมก็คือ Michinoku Date Masamune Rekishikan ซึ่งจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งของ ดาเตะ มาซามูเนะ และฉากต่างๆ มากกว่า 25 ฉากด้วยกัน ส่วนการเดินทางมายังที่มัตสึชิม่า นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟ JR สายเซคี จากสถานีเซนได โดยมาลงที่สถานี Matsushima kaigan นับว่าเป็นอีกเมืองที่น่ามาเที่ยว

เซนได

เซนได


เซนได คืออีกเมืองในโทโฮขุ ที่ประสบภัยพิบัติอย่างหนักในภัยพิบัติจากสึนามิในปี ค.ศ.2011 ก่อนที่จะได้รับการฟื้นฟูมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมืองแห่งนี้ถือว่ามีความสวยงามด้วยธรรมชาติ และมีแม่น้ำฮิโระเสะที่สวยงาม โดยถนนทุกเส้นในเมืองนั้นจะมีการปลูกต้นเคยะขิเอาไว้ จนได้รับฉายาว่า เมืองแห่งต้นไม้

Date Masamune

ส่วนที่ปราสาทเซนไดนั้นก็นับว่ามีความสวยงามอย่างมาก และมีรูปปั้นของไดเมียวเจ้าของฉายามังกรตาเดียวอย่าง Date Masamune อยู่บนหลังม้า โดยใกล้ๆ กันนั้นก็จะมีพิพิธภัณฑ์ของปราสาทอีกด้วย และคุณยังสามารถเข้าไปเที่ยวชมสุสานของ Date Masamune ได้อีกด้วย

Osaki Hachimangu

นอกจากนี้แล้วศาลเจ้า Osaki Hachimangu ก็นับว่ามีความสวยงามและได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่าของญี่ปุ่นอีกด้วย ส่วนที่ศาลเจ้าโทโชกู นั้นก็นับว่าน่ามาท่องเที่ยว เพราะเป็นศาลเจ้าที่ใช้สำหรับบวงสรวงต่อโชกุนอิเอยะสุ ทางด้านของวัดรินโน ก็น่ามาท่องเที่ยวเช่นกัน โดยเมืองแห่งนี้สามารถเดินทางมาได้โดยใช้บริการของชินคันเซนสาย Tohoku Shinkansen โดยมาลงที่สถานี JR Sendai ก็จะถึงแล้ว

คาคุโนดาเตะ

คาคุโนดาเตะ

คาคุโนดาเตะ นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดอาคิตะ ถือว่าเป็นเมืองแห่งซามูไรอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กๆ และไม่ได้มีปราสาทขนาดใหญ่โตเหมือนที่อื่นแต่สำหรับปราสาทคาคุโนดาเตะ ที่ตั้งโดดเด่นอยู่หลายเมืองก็นับว่าเก่าแก่งดงามควรค่าแก่การมาเที่ยวชมไม่ใช่เล่น

สถานที่ชมดอกซากุระ

แถมบริเวณโดยรอบปราสาทนั้นเต็มไปด้วยบ้านเรือนแบบเก่าที่เป็นหมู่บ้านซามูไรจำนวนกว่า 80 หลังที่มีความเก่าแก่และแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของซามูไรในอดีต และบ้านแต่ละหลังนั้นจะมีการปลูกต้นซากุระเอาไว้อีกด้วย ทำให้ในช่วงของเดือนเมษายนนั้นที่นี่จะเต็มไปด้วยดอกซากุระบาน สวยงามเป็นอย่างมาก และเป็น 1 ใน 100 สถานที่ชมดอกซากุระที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น และบ้านซามูไรบางหลังนั้นก็เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คุณสามารถเข้าไปชมความงดงามได้อีกด้วย

บ้านซามูไร

ในขณะที่มีหลายหลังยังใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่ในปัจจุบันของลูกหลานซามูไร ส่วนใครที่เดินมาชมความงดงามของปราสาทคาคุโนดาเตะ ก็สามารถมองกลับไปชมวิวที่แสนจะงดงามของเมืองคาคุโนดาเตะ ได้อย่างชัดเจน โดยการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นคุณสามารถใช้บริการของชินคันเซน ขบวน JR Akita Shinkansen ต้นทางที่สถานีโตเกียว แล้วให้คุณมาลงที่ สถานีคาคุโนดาเตะ ก่อนที่จะถึงสถานีอาคิตะ

แนะนำ 10 ข้อควรรู้เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น

โลกใบนี้ เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และประเพณี หากจะพูดถึงประเทศที่คงความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงที่สุด หนึ่งในนั้นต้องเป็นประเทศญี่ปุ่น อย่างแน่นอน โดยเฉพาะวิถีชีวิต ที่นอกจากเต็มไปด้วยความเร่งรีบ แต่ก็แฝงไปด้วยความเอาใจใส่ ความเสียสละ มีจิตสาธารณะ ทั้งมารยาททางสังคมและสามัญสำนึก

เที่ยวญี่ปุ่น

แนะนำ 10 ข้อควรรู้เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น

เพราะฉะนั้น ก่อนที่คุณจะเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ก็ควรจะทราบเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ เพื่อที่จะได้เข้ากับบ้านเมือง ผู้คน และวัฒนธรรมของเขาได้ เมื่อเป็นอาคันตุกะที่ดี เจ้าบ้านก็ย่อมอยากต้อนรับ คล้ายดั่งสุภาษิตที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม”

โดยล่าสุด ทางสถานทูตไทย ณ กรุงโตเกียว จึงได้แบ่งปัน 10 ข้อควรรู้เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น มาให้นักท่องเที่ยวชาวไทยได้รู้กัน ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ชี้แจงว่า “ไม่ได้มีเจตนาที่จะแสดงความเห็นว่าสังคมประเทศใดดีกว่าหรือด้อยกว่าแต่อย่างใด เพียงแต่เพื่อความเข้าใจและประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น”

การใช้บันไดเลื่อนของคนญี่ปุ่น

1. การขึ้นลงบันไดเลื่อน ยืนให้ชิดซ้าย หากเร่งรีบให้เดินในช่องทางขวา ยกเว้นบางพื้นที่ เช่น ภูมิภาคคันไซ คนญี่ปุ่นจะยืนชิดขวาและเปิดพื้นที่ทางซ้ายสำหรับการเดินขึ้นลง รวมไปถึงการเดินบนทางเท้า คนญี่ปุ่นจะแบ่งช่องทางการเดินเท้าอย่างชัดเจน เป็นระเบียบจนคนต่างชาติสังเกตได้ทีเดียว

การใช้รถไฟฟ้าของคนญี่ปุ่น

2. งดการพูดคุยโทรศัพท์เคลื่อนที่ ขณะโดยสารขนส่งสาธารณะ เช่น รถประจำทางและรถไฟ รวมทั้งปิดเสียงโทรศัพท์และเปิด manner mode หรือระบบสั่น

การเข้าคิว ของคนญี่ปุ่น

3. การเข้าคิวเป็นเรื่องปกติที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต่อคิวรอรถประจำทาง เข้าห้องน้ำ หรือรอคิวร้านอาหารและซื้อของตามร้านค้า แม้กระทั่งผู้สูงอายุหรือเด็กก็รอคิว ไม่มีการแซง เพราะทุกคนถือว่าต้องให้คนมาถึงก่อนได้รับบริการก่อนตามลำดับ

การใช้ลิฟท์ ของคนญี่ปุ่น

4. เวลาโดยสารลิฟท์ ผู้ที่เข้าไปคนแรกควรกดเปิดประตูให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ เข้ามาในลิฟท์ และกดให้คนอื่นๆ ออกจากลิฟท์ไปก่อน หากไปที่ชั้นเดียวกัน คนไทยอาจประหลาดใจ หากพบว่าคนกดประตูลิฟท์ให้เป็นผู้หญิง และผู้โดยสารลิฟท์คนอื่นๆ เป็นผู้ชายทั้งหมด

ช้อปปิ้ง ญี่ปุ่น

5. เวลาชำระเงินตามร้านค้า ควรวางเงินลงในถาดที่ร้านจัดเตรียมไว้ ข้อดีคือเป็นการป้องกันการสับสนเมื่อร้านค้ารับและทอนเงินคืน หากสังเกต เมื่อเราชำระเงินด้วยธนบัตรใหญ่ เช่น 1 หมื่นเยน พนักงานจะพูดย้ำกับลูกค้าว่ารับเงินมา 1 หมื่นเยน พร้อมกับถือธนบัตรโชว์แก่พนักงานคนอื่นๆ ว่ารับธนบัตรใหญ่มา และเมื่อทอนเงินคืน จะนับเงินให้เห็นและวางลงในถาดคืนแก่ลูกค้า

พนักงานขาย ประเทศญี่ปุ่น

6. เมื่อต้องการได้รับบริการจากร้านค้า หากพนักงานกำลังให้บริการลูกค้าคนอื่นอยู่ก่อนหน้า ต้องรอจนกว่าจะมีพนักงานคนอื่นมาให้บริการหรือจนกว่าพนักงานจะให้บริการลูกค้าคนก่อนหน้าเสร็จก่อน ไม่ควรแทรกด้วยการถามหรือเรียกให้มาบริการตนก่อน

มารยาทในที่สาธารณะของคนญี่ปุ่น

7. หลีกเลี่ยงการพูดคุยเสียงดังในที่สาธารณะ คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการเคารพความเป็นส่วนตัวและถือว่าพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ส่วนรวมที่คนในสังคมใช้ร่วมกัน เราจึงเห็นบรรยากาศในสถานีรถไฟญี่ปุ่นในช่วงเช้าและเลิกงานว่าไม่ค่อยมีเสียงดังจากการพูดคุยทั้งที่มีคนจำนวนมาก แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงคนเดินมากกว่า

การทิ้งขยะ ของคนญี่ปุ่น

8. แยกขยะเวลาทิ้งโดยทิ้งขยะให้ถูกต้องตามประเภทของขยะ ทั้งนี้ โดยทั่วไปในญี่ปุ่น เราจะไม่พบถังขยะตามทางเท้า ยกเว้นหน้าร้านค้าสะดวกซื้อสถานีรถไฟ และภายในอาคาร

การขับรถ ของคนญี่ปุ่น

9. ขับรถโดยคำนึงถึงคนเดินเท้า โดยเฉพาะทางม้าลาย รถจะต้องหยุดให้คนข้ามถนนหมดเสียก่อนถึงขับต่อไปได้ ไม่มีการบีบแตรไล่หรือขับผ่านโดยไม่หยุดที่ทางม้าลาย

มารยาทบนโต๊ะอาหารของคนญี่ปุ่น

10. ไม่ใช้ตะเกียบของตนเองคีบอาหารให้คนอื่น หากจะคีบอาหารให้คนอื่น ใช้ตะเกียบคู่ใหม่หรือใช้ตะเกียบของตนและกลับด้านตะเกียบเพื่อคีบอาหาร รวมทั้งผู้รับอาหารไม่รับอาหารโดยนำตะเกียบมาคีบรับ แต่ยื่นจานของตนให้

เพียงแค่รู้เอาไว้ ถ้านำไปใช้ก็จะดีมาก แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดเคร่งเครียดจนเที่ยวไม่สนุกนะครับ คนญี่ปุ่นน่ารัก บางอย่างเป็นวัฒนธรรมเฉพาะตัว เราไม่รู้ ก็ไม่ผิด ไปเที่ยวต่างถิ่นก้ค่อยๆ ปรับตัวกันไปนะครับ

ท่องเที่ยวญี่ปุ่น 2023 ต่างชาติแห่เข้า มีทั้งความหวัง อุปสรรค ความเสี่ยง

นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีก ตัวเลขเดือน พ.ย.พุ่งอีก 87% หน่วยงานเกี่ยวข้องประเมินปี 2023 ฟื้นแน่ แต่มีอุปสรรค แรงงานไม่พอ

วันที่ 22 ธันวาคม 2565 บลูมเบิร์ก รายงานอัพเดตจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เข้าญี่ปุ่นอีกครั้งเดือนพฤศจิกายน หลังจากเปิดประเทศเมื่อเดือนที่แล้ว ท่ามกลางความหวังว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นดีขึ้นในปีหน้า

ADVERTISEMENT

องค์การการท่องเที่ยวแห่งชาติญี่ปุ่นรายงานว่า เดือนที่แล้วมีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 934,500 คนแห่กันมาเที่ยวญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

Photo by CHARLY TRIBALLEAU / AFP

ขณะที่นักท่องเที่ยวหวนกลับมาแล้ว แต่ญี่ปุ่นประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรในอุตสาหกรรมขนส่งและการท่องเที่ยวเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผลการสำรวจของบริษัทเทโกคุ ดาต้าแบงก์ เมื่อเดือนกันยายน พบว่าโรงแรมขนาดเล็ก รวมทั้งโรงแรมทั่วไปกว่าร้อยละ 60 มีพนักงานไม่เพียงพอ ทั้งพนักงานประจำและงานพาร์ตไทม์

เงินเยนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิดประกอบกับอัตราเงินเฟ้อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกลงสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าค่าโรงแรม อาหาร การเดินทาง และช็อปปิ้งAdvertisement

ชุน ทานากะ นักวิเคราะห์จากบริษัทเอสบีไอ ซีเคียวริตี กล่าวว่าค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นซึ่งเป็นผลจากการตัดสินใจของธนาคารกลางญี่ปุ่นในการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร จะไม่มีผลต่อแนวโน้มการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวยังรู้สึกว่าข้าวของที่ญี่ปุ่นถูกกว่าอยู่ดี ดังนั้น ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นเศรษฐกิจไปสู่ระดับก่อนเกิดการระบาด

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี รายงานเมื่อเดือน พ.ย.ว่าความเสี่ยงอื่น ๆ ต่อการเดินทางทั่วโลกมีหลายปัจจัย รวมทั้งค่าพลังงาน ค่าสินค้า ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่ขาดแคลนแรงงานและช่องว่างทักษะ ซึ่งเกิดจากความคาดหวังของนายจ้าง สวนทางกับความสามารถของแรงงาน

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักเดินทางต้องคิดหนัก เพราะต้องคำนึงถึงงบประมาณครัวเรือนและการใช้จ่ายในการเดินทาง โออีซีดีจึงคาดว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2025 หรือหลังจากนั้น

บริษัทท่องเที่ยวเจทีบีสำรวจพบว่าจะมีประชาชนประมาณ 21 ล้านคนเดินทางภายในประเทศในช่วงเทศกาลวันหยุด ระหว่าง 23 ธ.ค. 2022-3 ม.ค. 2023 ซึ่งฟื้นตัวร้อยละ 72 เมื่อเทียบกับปี 2019

ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังกลับมา แต่อาจได้รับผลกระทบบ้างจากโควิดที่ระบาดมากขึ้นและเงินเฟ้อ

ข้อควรรู้ 20 วัฒนธรรมญี่ปุ่น

ข้อควรรู้ 20 วัฒนธรรมญี่ปุ่น สำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่!!

ความตรงต่อเวลาสำคัญมากในญี่ปุ่น

1. ตรงต่อเวลา  

วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเวลามาก ไม่ว่าจะเป็นเวลาสำหรับอะไร ทั้งเรื่องการเดินทาง รถไฟ รถบัส ก็จะมาถึงตรงเวลาเป๊ะๆ เพื่อนๆ สามารถแมเนจเวลาในการเดินทางได้สบายใจ หรือถ้ามีนัดกับชาวญี่ปุ่นหล่ะก็ อย่าเลทเป็นอันขาดเพราะจะถือว่าเป็นการเสียมารยาทและไม่ให้เกียรติ

2. ลัดคิว ผิดกฏหมายญี่ปุ่นนะ 

การเข้าคิวเป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ทั้งต่อคิวรอขึ้นรถประจำทาง คิวเข้าห้องน้ำ คิวร้านอาหาร คิวซื้อของ ฯลฯ เพราะทุกคนถือว่าต้องให้คนมาถึงก่อนได้รับบริการก่อนตามลำดับ ถ้าเพื่อนๆ ได้มีโอกาสไปเยือนญี่ปุ่นหล่ะก็ อย่าเนียนๆ แซงคิว เพราะการแซงคิวในญี่ปุ่น ถือว่าทำผิดกฎหมายเลย  

3. บนรถไฟและรถสาธารณะ 

ที่ญี่ปุ่น เราไม่จำเป็นจะต้องลุกให้คนแก่ คนพิการหรือคนท้องนั่ง เนื่องจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นบนรถ จะมีที่นั่งสำรองเหล่านี้เพียงพออยู่แล้ว และคนปกติก็จะไม่นั่งในที่สำรองเหล่านี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือใครก็ตามที่เผลอไปนั่งชิลในที่สำรองนี้ จะถูกมองเป็นตาเดียวเลย

การไม่รักษามารยาทบนรถสาธารณะ ก็เป็น ข้อห้ามในญี่ปุ่น

4. โทรศัพท์เบาๆ 

จริงๆ แล้ววัฒนธรรมญี่ปุ่นห้ามคุยโทรศัพท์ในร้านอาหารหรือในรถไฟ รถเมล์นะคะ แต่ถ้าหาก หากจำเป็นจริงๆ ให้พูดสั้นๆ เบาๆ และรีบวางสาย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนรอบข้าง หากนั่งรถไฟ อาจไปคุยที่ตรงข้อต่อขบวนหรือจุดที่จัดไว้ อย่าลืมปิดเสียงไลน์หรือเสียงเตือนข้อความ ถ้าเล่นเกมในโทรศัพท์ก็ควรใส่หูฟังด้วย

5.  ยืนอย่างไร บันไดเลื่อน

การขึ้นบันไดเลื่อนตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะยืนชิดซ้ายหรือชิดขวาไปแล้วแต่ธรรมเนียมปฏิบัติในแต่ละท้องถิ่นค่ะ และจะไม่ยืนอยู่ตรงกลางบันได เพราะถือเป็นการเกะกะผู้อื่น ที่เร่งรีบ เพราะงั้นถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วต้องใช้บันไดเลื่อน อย่าลืมเว้นทางเดินตรงกลางไว้

6.  ซากุระ ชมแต่ตา มืออย่าต้อง

วัฒนธรรมญี่ปุ่นสุดคลาสิกเมื่อนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมซากุระ คือ “ห้ามแตะต้องต้นซากุระ” เด็ดขาด ข้อนี้ถือเป็นกฏสำคัญที่ซีเรียสเลย เพราะการที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างจับ หรือเด็ดดอกซากุระนั้น อาจเป็นสาเหตุให้ต้นซากุระบอบช้ำ และเฉาตายได้

7. ส่งเสียงความอร่อย 

เราส่งเสียงดังได้ในขณะรับประทานอาหาร ถือเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นเลยทีเดียวที่ถือว่าการกินเสียงดัง หมายถึง อาหารนั้นอร่อย โดยเฉพาะยิ่งเพื่อนๆ ซดน้ำซุปเสียงดังๆ พนักงานในร้านยิ่งปลื้มปริ่มว่านั่นคือการส่งเสียงความอร่อยให้ร้านได้ยินนั่นเอง

การปักตะเกียบในชามข้าว เป็นหนึ่ง ข้อห้ามในญี่ปุ่น

8. ระวัง! การใช้ตะเกียบ 

ห้ามปักตะเกียบลงในแนวดิ่งไปในถ้วยข้าว เพราะจะคล้ายกับการปักธูปไหว้ศพ และห้ามส่งอาหารจากตะเกียบสู่ตะเกียบ เพราะว่าคนญี่ปุ่นจะใช้ตะเกียบคีบกระดูกที่เผา แล้วส่งต่อๆ กันตอนทำพิธีเก็บกระดูกเท่านั้น ดังนั้นถ้าต้องการจะตักอาหารให้กัน ก็ควรคีบแล้ววางไว้ในจานของเพื่อนไปเลย

เวลาคีบอาหาร ควรใช้ตะเกียบกลาง

9. คีบอาหาร จากจานรวม

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นถ้าหากต้องการจะหยิบอาหารจากจานรวม อย่าลืมใช้ตะเกียบกลาง หรือถ้าไม่มีเตรียมไว้ให้ ก็ให้ใช้ปลายอีกด้านของตะเกียบตัวเอง คีบอาหารจากจานรวมมาใส่จานของตนเอง

10. ขอเสียงเบาหน่อย

หลีกเลี่ยงการพูดคุยเสียงดังในที่สาธารณะเพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการเคารพความเป็นส่วนตัวมาก และถือว่าพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ส่วนรวมที่ใช้ร่วมกัน ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่บนรถไฟ ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่สวนสาธารณะก็ต้องเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นเช่นกัน

11. อาบน้ำตามกฏ

สำหรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นการอาบน้ำแร่ร้อนต้องเปลือยผ้าทั้งหมดห้ามใส่เสื้อผ้า หรือห่อผ้าเช็ดตัวลงไปในน้ำ ผ้าผืนเล็กที่เอาเข้าไปด้วยก็ห้ามจุ่มลงในน้ำ ให้วางบนหัวหรือขอบสระ และก่อนลงแช่ต้องอาบน้ำให้สะอาดก่อนนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นถือเรื่องความสะอาดเป็นสำคัญ

การใส่เสื้อผ้าแช่น้ำร้อน ถือเป็น ข้อห้ามในญี่ปุ่น

12. รอยสักกับออนเซ็น

หากใครมีรอยสักแล้วจะเข้าไปอาบน้ำพุร้อนออนเซ็น อย่าลืมเช็คดีๆ ว่าออนเซ็นแห่งนั้น เขาห้ามคนมีรอยสักเข้าใช้หรือเปล่า เพราะที่ญี่ปุ่นมีออนเซ็นหลายแห่งไม่อนุญาตให้คนมีรอยสักใช้บ่อน้ำพุร้อน

ข้อห้ามในญี่ปุ่น ที่สำคัญคือ ห้ามคนมีรอยสักแช่ออนเซ็น

13. ทิชชู่ในห้องน้ำ 

วัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นเพื่อนๆ สามารถทิ้งกระดาษทิชชู่ลงในชักโครกได้เลย เพราะที่ญี่ปุ่นนั้นกระดาษทิชชู่เขาจะแยกอย่างชัดเจน โดยถ้าเป็นกระดาษทิชชู่ที่ใช้ในห้องน้ำจะเป็นกระดาษที่มีเส้นใยสั้น ทำให้เปื่อยยุ่ยได้ง่าย ดังนั้นที่ญี่ปุ่นเขาจึงสามารถทิ้งกระดาษทิชชู่สำหรับใช้ในห้องน้ำลงในชักโครกได้ โดยไม่ทำให้ชักโครกอุดตัน

14. ที่เขี่ยบุหรี่มือถือ 

สำหรับคนสูบบุหรี่ ควรพกที่เขี่ยบุหรี่มือถือติดตัวด้วย หากไม่มีสามารถซื้อตามร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่นได้ไม่ยาก ระวังอย่าทิ้งก้นบุหรี่หรือเขี่ยบุหรี่ลงพื้น เพราะบางเมืองมีกฏหมายปรับคนทิ้งขยะ และบางเมืองก็ยังห้ามเดินสูบบุหรี่อีกด้วย ต้องเช็คสถานที่ดูดีๆ

15.  แอบถ่ายรูปคนอื่น ห้ามเด็ดขาดเลย 

คำเตือนสำหรับหนุ่มๆ ห้ามถ่ายรูปสาวๆ ญี่ปุ่นแบบเจาะตัว เพราะนี่ไม่ใช่แค่วัฒนธรรมญี่ปุ่นทั่วไปแต่ทางญี่ปุ่นมีกฏหมายพรบ.สิทธิส่วนบุคคล ห้าม แอบถ่ายรูปคนอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาติ แต่หากจะถ่ายแบบวิวกว้างๆ แล้วมีสาวๆ ติดอยู่ในภาพวิวนั้น โดยไม่ได้เจาะจง ก็ถือว่าทำได้ไม่มีปัญหา

แอบถ่ายรูปคนอื่น ผิดกฎหมายประเทศญี่ปุ่นนะ

16.   เงินทอนเกิน

เวลาไปช้อปปิ้งเพลินๆ แล้วได้รับเงินทอนเกินมา คุณจะรู้หรือไม่รู้ ตั้งใจหรือเปล่าก็ตาม หากพนักงานทวงถามเงินที่เกินคืน ห้ามเพื่อนๆ ตีเนียนไม่รู้ไม่เห็น  เพราะหากฝ่าฝืน จะมีโทษปรับตามดุลพินิจของศาล

การไม่คืนเงินทอนที่เกิน ก็ผิดกฏหมายประเทศญี่ปุ่น เช่นกัน

17. เข้าคนแรก เปิด-ปิดลิฟต์

เวลาโดยสารลิฟต์ผู้ที่เข้าไปคนแรกควรกดเปิดประตูให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ เข้ามาในลิฟต์ และกดให้คนอื่นๆ ออกจากลิฟต์ไปก่อน หากไปที่ชั้นเดียวกัน เรื่องนี้ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยว แต่ให้นึกไว้เสมอว่าหากคุณเป็นคนแรกที่เข้าลิฟต์ที่ญี่ปุ่นล่ะก็ คุณคือคนที่ต้องกดปิด-เปิดประตูลิฟต์ให้คนอื่นตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั่นเอง

18. ห้ามบ้วนน้ำลายในสวนสาธารณะ

หากไปเดินเล่นเพลินๆ ในสวนสาธารณะที่ญี่ปุ่น อย่าลืมกฏข้อนี้ “ห้ามบ้วนน้ำลายในสวนสาธารณะ” เพราะถ้าหากมักง่ายและฝ่าฝืนหล่ะก็ มีสิทธิ์จ่ายค่าปรับตามกฏหมายของญี่ปุ่น (หรือจำคุกสูงสุด 30 วัน) เลย


19. ที่ญี่ปุ่น ไม่ต้องทิป

เพื่อนๆ ไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่มเติม เป็นอีกเรื่องที่นักท่องเที่ยวหลายๆ ชาติทำเป็นปกติ แต่ไม่ใช่กับชาวญี่ปุ่น เพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะถือเรื่องการบริการที่ทำด้วยใจ ดังนั้นพนักงานในญี่ปุ่นจะไม่รับทิป หรือถ้าคุณวางเงินไว้บนโต๊ะ พนักงานก็อาจจะวิ่งตามนำเงินมาคืนคุณอีกด้วย

เข้าคนแรก ควรช่วยเปิด-ปิดลิฟต์

20. ของหาย ได้คืน

ถ้าทำของหาย หรือลืมไว้ที่ไหนซักแห่งในญี่ปุ่น ให้ทบทวนดีๆ ว่าน่าจะหล่นไว้ตรงไหน แล้วไปติดต่อแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้เลย เพราะจิตสำนึกที่ถูกปลูกฝังมาของผู้คนในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เพื่อนๆ สามารถอุ่นใจได้เลยว่าของที่หายไป มีสิทธิ์ได้คืนแน่นอน

ญี่ปุ่นพบไวรัสโคโรนากลายพันธุ์! คล้ายชนิดระบาดในสหราชอาณาจักร-แอฟริกาใต้

ญี่ปุ่นพบไวรัสโคโรนากลายพันธุ์! คล้ายชนิดระบาดในสหราชอาณาจักร-แอฟริกาใต้

ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (SARS-CoV-2) แบบกลายพันธุ์ จากผู้โดยสาร 4 คน ที่บินจากประเทศบราซิลมายังสนามบินฮาเนดะ เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งสายพันธุ์ดังกล่าวไม่เคยพบที่ญี่ปุ่นมาก่อน ทั้งยังมีความคล้ายคลึงกับสายพันธุ์ที่ระบาดในสหราชอาณาจักรและแอฟริกาใต้

ผู้โดยสารกลุ่มนี้มี 3 คนที่แสดงอาการป่วย อย่างเช่น หายใจลำบาก มีไข้ และเจ็บคอ ขณะที่ชายอายุราว 40 ปี ในผู้โดยสารกลุ่มนี้ไม่แสดงอาการใดๆ เลยเมื่อเดินทางมาถึงญี่ปุ่น แต่หลังจากนั้นกลับอาการแย่ลงจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะหายใจลำบากมาก

หลังจากพบเชื้อ เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นก็นำผลการตรวจหาไวรัสของผู้โดยสารกลุ่มนี้ไปให้สถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของญี่ปุ่นตรวจสอบ ซึ่งพบว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ ทำให้กระทรวงสุขภาพ แรงงาน และสวัสดิการ ของญี่ปุ่น ต้องรายงานเรื่องนี้ต่อองค์การอนามัยโลกโดยด่วน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ชนิดกลายพันธุ์ดังกล่าวยังมีจำกัดและยังประเมินไม่ได้ว่าติดต่อได้ง่ายเพียงใด

ไม่ใช่แค่นั้น ยังไม่มีข้อมูลใดที่ยืนยันว่าวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่นำมาออกมาใช้แล้วทั่วโลกในขณะนี้ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์นี้ได้

ช่วงที่ผ่านมา ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึงวันละมากกว่า 7,000 คน ซึ่งกรุงโตเกียวเพียงแห่งเดียวพบมากกว่า 2,000 คนต่อวัน และถ้าหากนับตั้งแต่โรคโควิด-19 เริ่มระบาดเมื่อต้นปี 2563 ญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วกว่า 270,000 ราย และเสียชีวิตมากกว่า 3,900 ราย

ด้านคณะผู้บริหารจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น อย่างเช่น ผู้ว่าราชการ จ.โอซากา จ.เกียวโต และ จ.เฮียวโงะ ก็เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีประกาศภาวะฉุกเฉินเพิ่มเติม อย่างที่ประกาศใช้กับ จ.โตเกียว และปริมณฑล (ได้แก่ จ.คะนะงะวะ จ.ไซตะมะ และ จ.ชิบะ) เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่พื้นที่ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น