ปัจจุบันการท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั้นง่ายแสนง่าย ทั้งตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกลง การยกเว้นวีซ่าสำหรับการท่องเที่ยวไม่เกิน 15 วัน อีกทั้งญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ปลอดภัย มีการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม จนเรียกได้ว่าใครๆ ก็สามารถเที่ยวญี่ปุ่นได้ ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมารองรับมากมาย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผู้เดินทางจำเป็นต้องเตรียมตัวด้วยตนเองซึ่งก็คือเรื่อง ‘เงิน’ นั่นเอง หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เราก็มี…วิธีการตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่นง่ายๆ โดยกลยุทธ์คำนวณค่าใช้จ่ายด้วยเลข 0 …มาฝากค่ะ
วิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่น
ขั้นตอนที่ 1: วางแผนการท่องเที่ยว
อย่างแรกเลยเราควรวางแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ ก่อนค่ะ เพื่อที่จะได้เริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายได้ถูก โดยมีหัวข้อที่ต้องคำนึงถึงดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณค่าใช้จ่ายตัวเลขด้วยเลข 0
การคำนวณงบประมาณเป็นอีกเรื่องที่หลายคนถกเถียงกันว่าควรตั้งเป็นเงินบาทหรือเงินเยน ที่จริงแล้วก็มีข้อดีแตกต่างกันไปค่ะ หากคำนวณด้วยเงินบาท เราจะประเมินได้ว่าถูกหรือแพงและรู้ตัวเลขเงินบาทในทุกรายละเอียด แต่การคำนวณด้วยเงินเยนจะสะดวกกว่า เนื่องจากว่าไม่ต้องนั่งคำนวณเป็นเงินบาททุกอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เราจะก็ใช้เงินกันในญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดจึงมาในรูปแบบเงินเยน
ในการคำนวณนั้น เราเพียงแค่รวบรวมค่าใช้จ่ายในญี่ปุ่นทั้งหมดแล้วคำนวณเป็นเงินบาทภายในครั้งเดียวแล้วมาบวกกับค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ (เราใช้วิธีนี้ตลอดค่ะ) รวมถึงการนำหลักการคำนวณด้วยเลข ‘0’ มาใช้ ซึ่งจะปัดเศษให้สูงขึ้นเป็นเลขกลมๆ เพื่อสะดวกต่อการคำนวณและเป็นการเผื่องบไม่ให้ขาดด้วยค่ะ โดยจะปัดเศษที่หลักร้อยหรือหลักพันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของเพื่อนๆ เลยค่ะ ซึ่งเราจะขอแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 6 ส่วนดังนี้
JR Rail Pass (7 Days) 29,110 เยน (ตีเป็น 30,000 เยน) ⇒ 9,000 บาท/คน
Tokyo Wide Pass (3 Days) 10,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คน
Tokyo Subway Ticket (24 Hours) 800 เยน (ตีเป็น 1,000 เยน) ⇒ 300 บาท/คน
Osaka Amazing Pass (1 Day) 2,500 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท/คน
วันที่ไม่ใช้พาส/ไปนอกเหนือเส้นทางพาส 1,000 – 2,000 เยน ⇒ 300 – 600 บาท/วัน/คน
ขับรถเที่ยว ค่าเช่ารถ+ประกันภัย (รถนั่ง 4 คน) เริ่มต้นวันละ 12,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คัน
※สามารถใช้เว็บไซต์ Hyperdia.com เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารรถไฟ หรือ Google Map เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารในเส้นทางได้ค่ะ
โฮสเทล (ห้องรวม)/โรงแรมแคปซูล 3,000 เยน ⇒ 900 บาท/คืน/คน
โรงแรมธุรกิจแบบตะวันตก (3 ดาว) ห้อง 2 คน 3,000 – 5,000 เยน ⇒ 900 – 1,500 บาท/คืน/คน
โรงแรมห้องญี่ปุ่น (เรียวกัง) 10,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คืน/คน
โรงแรม/รีสอร์ทขนาดใหญ่ 10,000 – 15,000 เยน ⇒ 3,000 – 4,500 บาท/คืน/คน
※สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ » รูปแบบโรงแรมที่พักในญี่ปุ่น
Universal Studios Japan (USJ) 7,900 เยน (ตีเป็น 8,000 เยน) ⇒ 2,400 บาท
Tokyo Disneyland/Tokyo DisneySea 7,400 เยน (ตีเป็น 8,000 เยน) ⇒ 2,400 บาท
Tokyo Skytree (TEMBO DECK) 2,060 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท
Osaka Aquarium KAIYUKAN 2,300 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท
Osaka Castle 600 เยน (ตีเป็น 1,000 เยน) ⇒ 300 บาท
Kiyomizu Temple 400 เยน (ตีเป็น 500 เยน) ⇒ 150 บาท
ขนมของฝากในสนามบิน ประมาณ 1,000 – 2,000 เยน ⇒ 300 – 600 บาท/กล่อง
ขนมทั่วไป เช่น ช็อคโกแลต ประมาณ 100 – 500 เยน ⇒ 30 – 150 บาท/กล่อง,ถุง
กระเป๋าเป้ทรงยอดฮิต ประมาณ 5,000 – 6,000 เยน ⇒ 1,500 – 1,800 บาท/ใบ
รองเท้าผ้าใบลำลอง ประมาณ 10,000 – 15,000 เยน ⇒ 3,000 – 4,500 บาท/คู่
เครื่องสำอางในร้านขายยา ประมาณ 1,000 – 3,000 เยน ⇒ 300 – 900 บาท/ชิ้น
※ร้าน Duty Free (หลังจากที่ผ่านต.ม.แล้ว) จะไม่มีภาษี แต่ร้านที่อยู่ด้านนอกในสนามบินจะมีภาษี 8% นะคะ แนะนำว่าให้อดใจเข้าไปช็อปด้านในจะดีกว่า นอกจากว่าจะเป็นร้านที่มีสิทธิ์ Tax Free ซึ่งซื้อครบ 5,000 เยน ⇒ 1,500 บาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีค่ะ
※สำหรับห้างสรรพสินและร้านค้าในเมือง ก็มีร้านที่เป็น Tax Free เช่นกันค่ะ โดยจะมีแปะป้ายไว้หน้าร้านเลย
※สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ » ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี?…21 ไอเดียของฝากน่าซื้อจากญี่ปุ่น ของยอดฮิตที่ห้ามพลาด!
ป่าไผ่ซากะโนะ สูงตระหง่านตั้งอยู่ในเขตอาราชิยามะ เมืองเกียวโต ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนนิยมไปเที่ยวมากที่สุดค่ะ ใช้เวลาเพียง 30 นาทีจากสถานี JR เกียวโตเท่านั้น
ที่นี่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมากันเนืองแน่นทุกฤดูกาลเลยค่ะ ช่วงพีคสุดของที่นี่ คือ ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ประมาณปลายเดือน ตค – พย. (แนะนำให้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนมาอีกทีนะคะ)
เมื่อมาถึงที่ป่าไผ่ซากะโนะแล้ว หมวยแนะนำว่าไม่ควรพลาดที่จะไปเที่ยว สะพานข้ามจันทร์ (Togetsukyo Bridge) วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) นั่งรถไฟสายโรแมนติก (Saga Scenic Railway) แวะไปชมวิธีการจับปลาด้วยวิธีดั้งเดิม Cormorant Fishing (Ukai) และการล่องเรือในแม่น้ำ Hozu River Boat Tour เพื่อสัมผัสความงามของธรรมชาติด้วยนะคะ
Baby Blue Eyes In Japan’s Hitachi Seaside Park
ยังคงอยู่ที่ Hitachi Seaside Park นะคะ ที่นี่เป็นสถานที่ ที่มีสิ่งน่าสนใจเยอะเชียวค่ะ ที่สวนแห่งนี้จะมีทุ่ง Nemophila อันเลื่องชื่อ เป็นทุ่งดอกไม้สีฟ้าอ่อนสวยไปทั้งเนินเขาเลยค่ะ เหมาะแก่การมาเที่ยวถ่ายรูปมากๆ เลยค่า
มี 2 ช่วงเวลาที่แนะนำในการไปชมทุ่ง Nemophila ได้แก่ “เดือนกันยายน” ซึ่งเป็นช่วงดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ สวยและดีที่สุดค่ะ รองลงมาจะเป็นช่วง “เดือนเมษายน และพฤษภาคม”
อุโมงค์ดอก Wisteria ที่สวนคาวาชิ ฟูจิ
เพื่อนๆ เคยดูละครช่อง 3 ที่พี่เบิร์ดเล่นคู่กับชมพู่อารยาไหมค่ะ? อุโมงค์ดอกไม้สีม่วงสลับขาวในละครนั้นมีอยู่จริงค่ะ และคงจะโรแมนติกมากๆ ถ้าได้เดินจูงมือคนรักลอดผ่านซุ้มอุโมงค์ดอก Wisteria สวยๆ เหล่านี้
อุโมงค์นี้ตั้งอยู่ตอนเหนือของเกาะคิวชู ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงจากเมืองฟุกุโอกะ ช่วงเวลาที่ดอกไม้จะสวยและเบ่งบานเต็มที่คือปลายเดือนเมษายนนะคะ
ทุ่งสีชมพู ทุ่งดอกชิบะซากุระ (Fields Of Shibazakura)
เทศกาลชมดอกชิบะซากุระ ที่ภูเขาไฟฟูจิถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ประจำปีในพื้นที่ทะเลสาบฟูจิทั้ง 5 ซึ่งจะมีดอกชิบะซากุระพร้อมใจกันบานมากกว่า 800,000 ดอกเลยค่ะ มีทั้งสีชมพู ขาว และม่วง
ช่วงเวลาที่จะเปิดให้เข้าชมจะสัมพันธ์กับสภาพอากาศนะคะ โดยมากจะจัดขึ้นระหว่าง “เดือนเมษายนและมิถุนายน” ช่วงเวลาที่เหมาะในการชมดอกไม้ที่สุด คือ ตั้งแต่เช้าตรู่ค่ะ ถ้าฟ้าเคลียร์ๆ เราจะได้ชมทุ่งดอกไม้สวยๆ โดยมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังด้วยค่ะ
นอกจากชมดอกไม้แล้ว ยังสามารถเข้างาน “เทศกาลอาหารอร่อยภูเขาไฟฟูจิ” ซึ่งมีร้านอาหารท้องถิ่นรสเด็ดมาออกร้านกันอย่างมากมาย ร้านดังที่มักมาร่วมออกงานก็เช่น Fujiyoshida โยชิดะอุด้ง (ก๋วยเตี๋ยว), Fujinomiya Yakisoba (ก๋วยเตี๋ยวผัด) เป็นต้น
สถานที่ตั้งอยู่ประมาณ 3 กม. จากทะเลสาบ Motosu ไป Fujinomiya อยู่ข้างของเส้นทาง 139 แต่ไม่ได้อยู่ที่ ริมทะเลสาบ Motosu นะคะ
แม่น้ำคาวาโกเอะ (River In Kawagoe)
ภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ แห่งนี้อยู่ที่เมือง Kawagoe เป็นเมืองเก่าที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น Little Edo ตั้งอยู่ในจังหวัดไซตามะ ห่างจากเมืองโตเกียวเพียง 30 นาทีเท่านั้น สามารถไปกลับเพียงวันเดียวได้สบายเลยค่ะ
เหตุที่เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Little Edo” หรือเมืองย้อนยุคสมัยเอโดะ เนื่องจากที่นี่เค้าพยายามรักษาบรรยากาศของบ้านเมืองเอาไว้ให้เหมือนสมัยเอโดะค่ะ
เมื่อคุณวางแผนเดินทางไปญี่ปุ่น ความคิดแรกของคุณน่าจะเป็นวิธีการหาตั๋วที่ถูกที่สุด หรือคุณจะพักที่ไหนดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งของการเดินทางของคุณคือการตัดสินใจว่าจะไปช่วงไหนของปี คุณควรเลือกฤดูร้อนหรือฤดูหนาว? ฤดูดอกซากุระหรือฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี?
ญี่ปุ่นอยู่นอกเขตร้อน มีสี่ฤดูกาลที่แตกต่างกัน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว แต่ก็มีฤดูฝนและฤดูไต้ฝุ่นด้วย ภูมิอากาศมีตั้งแต่กึ่งอาร์กติกทางตอนเหนือไปจนถึงกึ่งเขตร้อนทางตอนใต้
แต่ละฤดูกาลมีบางสิ่งที่จะมอบให้กับนักท่องเที่ยว ดังนั้นการเลือกเวลาที่จะไปจึงขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังมุ่งหน้าไปที่ใดและต้องการทำอะไรหรือดูอะไร ฤดูใบไม้ผลิเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ฤดูใบไม้ร่วงตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน และฤดูหนาวตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
หากมีช่วงเวลาเดียวที่ถือว่าดีที่สุดในการเยี่ยมชม ในมุมมองของสภาพอากาศ มักกล่าวกันว่าเป็นฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่ความชื้นในฤดูร้อนลดลง แต่กลางวันส่วนใหญ่ยังคงอบอุ่นและมีแดด มีโอกาสเกิดฝนน้อยกว่า แน่นอน ช่วงหลังของฤดูกาลและขึ้นไปทางเหนืออีก คุณคาดว่าอากาศจะเย็นลง แต่ก็ไม่หนาวเกินไป
ฤดูดอกซากุระถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมประเทศญี่ปุ่น ดอกไม้เริ่มปรากฏในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคมทางตอนใต้ของประเทศ เนื่องจากที่นี่มีอากาศอบอุ่นกว่า จากนั้นจะบานสะพรั่งไปทั่วประเทศทางตอนเหนือ ในพื้นที่ทางตอนเหนือที่เย็นกว่า ดอกจะไม่บานจนถึงเดือนพฤษภาคม ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงเรื่องนี้หากคุณต้องการชมดอกไม้
หากคุณกำลังวางแผนเดินทางไปซัปโปโร คุณจะผิดหวังหากคุณจองวันหยุดเดือนมีนาคม เนื่องจากดอกซากุระจะบานในเดือนพฤษภาคม
แม้ว่าดอกซากุระจะดูสวยงามและน่าหลงใหล แต่อย่าลืมว่าดอกซากุระเหล่านี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากในปัจจุบันรวมถึงชาวญี่ปุ่นด้วย คุณต้องวางแผนและจองทุกอย่างล่วงหน้า และหากการชมดอกไม้บานไม่ใช่เป้าหมายหลักของคุณ คุณควรไปในช่วงเวลาอื่นจะดีกว่า
Golden Week เป็นที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่นว่าเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดสำหรับการเดินทางภายในประเทศ นั่นเป็นเพราะวันหยุดนักขัตฤกษ์สี่วันมาติดต่อกันอย่างรวดเร็วในช่วงปลายเดือนเมษายนและต้นเดือนพฤษภาคม และคนส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์จากวันหยุดดังกล่าวเพื่อขยายวันหยุดในขณะที่ใช้วันลาประจำปีน้อยลง อาจเป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการมาญี่ปุ่นในช่วงเวลานี้ เนื่องจากการเดินทางแออัดมาก และราคาตั๋วและที่พักก็สูงที่สุด หากคุณมา คุณจะต้องจองล่วงหน้าหลายเดือนสำหรับที่นั่งรถไฟและเครื่องบินและห้องพักในโรงแรม
ฮอกไกโดเป็นเกาะหลักทางตอนเหนือสุดของญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้จึงมีโอกาสเล่นกีฬาฤดูหนาวที่น่าตื่นตาตื่นใจ นิเซโกะมีชื่อเสียงว่ามีหิมะตกหนักที่สุดและผงแป้งที่ดีที่สุดในโลก หิมะเริ่มตกตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่เหตุผลของการเล่นสกีจริงๆ จะเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคมและยาวไปจนถึงเดือนเมษายน เทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียงของซัปโปโรเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์
แต่ถ้าหิมะและความหนาวเย็นไม่เหมาะกับคุณ ฮอกไกโดสามารถเป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมในฤดูร้อนได้เมื่อมีอุณหภูมิที่อุ่นกว่าส่วนอื่นๆ ในญี่ปุ่น คุณสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆ เช่น ขี่ม้า บอลลูนลมร้อน และล่องแก่ง หากคุณต้องการโอกาสที่จะได้ชมหมีสีน้ำตาลของคาบสมุทรชิเระโทะโกะ (จากบนเรืออย่างปลอดภัย) ควรไประหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ส่วนการชมใบไม้เปลี่ยนสีอันสวยงาม ให้ไปตั้งแต่ต้นถึงกลางเดือนตุลาคม
คุณสามารถไปเที่ยวโตเกียวได้ทุกช่วงเวลาของปีและยังคงสนุกไปกับมันได้ แต่ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมหรือกันยายนถึงพฤศจิกายนก็เป็นช่วงเวลาที่ดีในการเยี่ยมชม
หากคุณมาในฤดูหนาว เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับช่วงกลางวันที่มีอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 5°C และเย็นกว่านั้นในตอนกลางคืน เดือนมิถุนายนเป็นฤดูฝน แม้ว่าจะไม่มีฝนตกทุกวัน ในขณะที่เดือนกันยายนและตุลาคมมีความเสี่ยงที่จะเกิดพายุไต้ฝุ่นซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกหนัก
ปลายเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมอาจเป็นเรื่องน่าเหนื่อยหน่ายในเมืองใหญ่ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 30 องศา เนื่องจากความชื้นทำให้รู้สึกร้อนและบีบคั้นมากกว่าที่เป็นอยู่
หากคุณกำลังมองหาความสนุกในฤดูหนาว คานาซาว่าอาจเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับคุณ หิมะมักจะเริ่มตกที่นี่ตั้งแต่เดือนธันวาคมและสามารถยาวไปจนถึงเดือนมีนาคม ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดสำหรับการเดินทางภายในประเทศ เนื่องจากมีกิจกรรมฤดูหนาวให้เลือกมากมาย ฤดูใบไม้ร่วง เมื่อใบไม้ในสวนที่มีชื่อเสียงของเมืองเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม และแดง ก็เป็นช่วงเวลาที่สวยงามเช่นกัน
เกียวโตมีสภาพอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี แม้ว่าฤดูหนาวจะหนาวกว่าในโตเกียวมากก็ตาม เนื่องจากอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะเยือกแข็ง ดอกซากุระมักจะบานที่นี่ตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนเมษายน
เทศกาล Kyoto Gion จัดขึ้นในเดือนมิถุนายน วางแผนที่จะมาระหว่างกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนธันวาคมเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีทองแดงที่สวยงาม
เนื่องจากชิโกกุตั้งอยู่ไกลออกไปทางใต้ จึงมีอากาศอบอุ่นกว่าและมีโอกาสเกิดหิมะน้อยกว่า ฤดูใบไม้ผลิเหมาะสำหรับการเดินป่า จะร้อนที่สุดตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายนเมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 30°C และคุณสามารถเพลิดเพลินกับกีฬาทางน้ำมากมาย ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุด น่าแปลกใจที่พวกเขามีลานสกีและคุณสามารถเพลิดเพลินกับการเล่นสกี สโนว์บอร์ด หรือเลื่อนหิมะได้ที่นั่น
คิวชูมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะขึ้นชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเที่ยวที่นี่ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่ดีในการเยี่ยมชมในฤดูหนาวหากคุณต้องการหลีกหนีจากความหนาวเย็นที่อื่น เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วจะมีอากาศอบอุ่นกว่าที่อื่น ๆ ในญี่ปุ่น
ทุกวันนี้ชาวไทยเราไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกันอย่างมากมายตั้งแต่ที่มีการประกาศว่าไม่ต้องใช้วีซ่าในการเข้าประเทศ ไม่ว่าจะพูดคุยกับใคร จุดหมายในการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของคนจำนวนมากต่างก็พุ่งตรงไปที่ญี่ปุ่น
ที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนักเพราะประเทศญี่ปุ่นมีอะไร ๆ หลาย ๆ อย่างที่ชาวไทยเราชื่นชอบ สถานที่ท่องเที่ยวก็สวยงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ อาหารการกินก็ถูกปากไปเสียแทบทุกอย่าง การคมนาคมสัญจรก็สะดวกสบาย เข้าใจง่ายแม้จะไปเยือนเป็นครั้งแรกก็ตาม
และเมื่อมีคนไปเยือนอย่างมากมาย ทำให้จุดมุ่งหมายยอดฮิตอย่างโตเกียว โอซาก้าหรือแม้แต่ ฮอกไกโด เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทย หลาย ๆ คนไปเมืองโตเกียวมาแล้ว 3-4 ครั้ง โปรแกรมการท่องเที่ยวก็จะเริ่มซ้ำของเดิมที่เคยไปมา ความตื่นเต้นในการท่องเที่ยวก็น้อยลง
ฉะนั้นวันนี้เราจะมาขอเสนอเมืองท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของญี่ปุ่นให้ทุกคนได้ไปเยือนกันบ้าง แต่ละจังหวัดแต่ละที่รับรองว่าสวยงามไม่ได้แพ้เมืองชื่อดังยอดนิยมอื่น ๆ อย่างแน่นอน
เมื่อพูดถึง ” กำแพงหิมะ ” คนที่คุ้นเคยกับประเทศญี่ปุ่นต่างก็รู้จักกันดีว่านี่แหละคือของดีของเมือง Tateyama อันแสนโด่งดัง หลาย ๆ คนมีความฝันที่จะไปเยือนกำแพงสูงใหญ่ท่วมหัวนี้สักครั้งหนึ่งให้ได้ และของจริงก็ยิ่งใหญ่สมกับที่เป็น 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของญี่ปุ่นจริง ๆ
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างกำแพงหิมะแล้ว ที่ TATEYAMA ยังมีอะไร ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย โดยหลาย ๆ แห่งนั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมกันในหมู่ชาวญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยเท่านั้นเอง
ภูเขา Tateyama ที่ตั้งของเมือง Tateyama นั้น ถือเป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น ทำให้บริเวณรอบ ๆ เมืองนี้ีที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาอย่างช้านาน โดยในเมือง Tateyama นั้นมีสถานที่ที่ชาวเมืองให้ความเคารพและบูชาอยู่เป็นอย่างมากคือบริเวณ Oyama Jinja ศาลเจ้าเก่าแก่โบราณที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัย คศ 700 ตั้งอยู่ท่ามกลางป่า cedar ที่สูงใหญ่และมีอายุนับร้อย ๆ ปี นอกจากจะสวยแล้ว บรรยากาศยังดูขลังและศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าประหลาดใจ
นอกจากนี้กิจกรรมหิมะต่าง ๆ ของเมืองนี้ ทั้งปั้นตุ๊กตาหิมะ เดินข้ามทุ่งหิมะ ก็ยังเป็นที่นิยมมากอีกด้วย
นากาโน่ ถือเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านหิมะเป็นอย่างมาก มากขนาดไหนน่ะเหรอ ? ก็ขนาดที่เคยจัดโอลิมปิคฤดูหนาวมาแล้วน่ะสิ การันตีได้ถึงหิมะจำนวนมากมายมหาศาลของภูมิภาคนี้ได้เลย
โดยเฉพาะที่ Hakuba เมืองธรรมชาติเล็ก ๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเรื่องคุณภาพและปริมาณของหิมะ ที่นี่มีสถานที่เล่นสกีชื่อดังมากมาย วิวทิวทัศน์ในฤดูหนาวก็สวยงามสุดแสนจะบรรยาย ถ้าต้องการมาสัมผัสวิวหิมะสวย ๆ แนะนำให้มาช่วงเดือน มค ถึง มีค หิมะกำลังสวยงามเลยทีเดียว
สำหรับชาวไทยเรานั้นการเล่นสกีอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยนัก เพราะบ้านเราไม่ได้มีหิมะเหมือนบ้านเขา การเกิดอุบัติเหตุระหว่างฝึกซ้อมเป็นไปได้เสมอ ฉะนั้นถ้าใครที่อยากลองเล่นล่ะก้แนะนำให้รับการฝึกสอนจากผู้เชี่ยวชาญ และถ้าจะให้ดี ก็มีประกันการเดินทางที่คุ้มครองการรักษาเอาไว้อย่าง AXA SMART TRAVEL PLUS ก็จะดี เพราะถ้ามีเหตุไม่คาดฝันมาล่ะก็สามารถเข้าโรงพยาบาลได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่ายมากนัก
เมืองน้ำพุร้อนเล็ก ๆ น่ารักที่ชาวญี่ปุ่นหลงรักเป็นที่สุด Yufuin ตั้งอยู่กลางหุบเขา เรียกว่ามองไปรอบด้านก็จะเห็นวิวภูเขาสวย ๆ ทุกทิศทาง และไม่ไกลจากตัวเมืองขับรถไปราว 55 กิโลเมตรเท่านั้นก็เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟชื่อดัง ASO ที่ยังคงครุกรุ่นอยู่ ทำให้ที่ Yufuin มีแหล่งน้ำแร่คุณภาพดีจำนวนมาก มีโรงแรม และเรียวกังที่มี onsen ให้บริการหลากหลายรูปแบบและราคา
ในตัวเมืองนั้นเต็มไปด้วนร้านค้าน้อยใหญ่ ขายสินค้าน่ารักน่าสนใจทั้งงานฝีมือต่าง ๆ ที่อยากจะซื้อไปเสียทุกชิ้น หรือร้านขนมอร่อย ๆ หน้าตาเก๋ ๆ ก็มีมากมาย เรียกว่าเดินทั้งวันก็ไม่เบื่อ
Yufuin เหมาะกับคนที่มาเป็นกลุ่ม หรือมาเป็นครอบครัว สามารถใช้เวลาอยู่ที่นี่แบบสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ
แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายนักในประเทศไทย แต่ที่ญี่ปุ่น Kamikochi ในจังหวัด NAGANO จัดเป็นเป้าหมายอันดับท็อปสำหรับการไปพักผ่อนเลยทีเดียว เนื่องจากที่นี่มีทุกอย่างที่อุทยานหนึ่งพึงจะมีได้ ทั้งน้ำที่ใสราวกระจก ป่าไม้เขียวชอุ่ม ท้องฟ้าสดใส ดอกไม้สีสันงามตา และแน่นอนว่าอากาศที่แสนบริสุทธิ์อย่างที่สุด ทำให้ถูกตั้งฉายาว่าสวิสเซอร์แลนด์แดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งก็ไม่ได้เกินเลยความเป็นจริง
ที่นี่ห้ามมีการนำรถส่วนตัวเข้ามาเนื่องจากข้อกำหนดทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ทำให้ยังคงรักษาความงดงามเอาไว้ได้ และทำให้อากาศในบริเวณอุทยานมีความสะอาดบริสุทธิ์อย่างมาก หายใจได้เต็มปอดแบบชุ่มฉ่ำกันไปเลย และหากใครมีแรงพอ แนะนำให้เดิน trekking ในอุทยาน ทั้งสนุกและได้ชมวิวงาม ๆ ตลอดทางเลย โดยเส้นทางการเดินนั้นจะมีหลายคอร์ส ตั้งแต่ระยะทางไม่กี่กิโลเมตร ใช้เวลาเดินแค่ชั่วโมงเดียว ไปจนถึงเส้นทางเดินข้ามเขาที่ต้องเดินกันเป็นวัน ๆ
เมืองริมทะเลในจังหวัด AKITA ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ยักษ์ NAMAHAGE เป็นวัฒนธรรมประจำปีใหม่ของถิ่นนี้ โดยในวันปีใหม่ จะมีผู้ใหญ่ใส่ชุดยักษ์หน้าตาน่ากลัว เดินเข้าไปในบ้านที่มีเด็กเล็ก ๆ และพยายามจะจับเด็ก ๆ ที่ขี้เกียจและซน
การละเล่นแบบนี้เป็นการสอนเด็ก ๆ ไปในตัว เพราะเมื่อยักษ์จู่โจมเสร็จแล้วก็จะมีการพูดคุยกับผู้ใหญ่ ต้อนรับด้วยโมจิและ สาเก พร้อมทั้งคำสั่งสอนข้อคิดดี ๆ ก่อนที่จะลากลับ โดยยักษ์สีแดงเป็นยักษ์ชาย และยักษ์สีน้ำเงินคือยักษ์หญิง
นอกจากนี้ยังมีการใส่ชุดยักษ์นี้ทำการละเล่นตีกลอง ซึ่งเป็นการแสดงที่ดุดันและสนุกสนานมาก ๆ
เมืองเล็ก ๆที่มีธรรมชาติสวยงามทั้งลำธารสวยใส ภูเขาอันแสนงดงาม และต้นไม้ใบหญ้าที่ยังคงอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่าอยู่ห่างจากมหานครโตเกียวที่แออัดมาแค่ชั่วโมงเดียว
แน่นอนว่าที่ท่องเที่ยวเด่น ๆ ของเมืองนี้ก็ไม่พ้นที่เที่ยวทางธรรมชาติต่าง ๆ รวมทั้งบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังนั่นเอง อย่างเช่น Takaragawa Onsen บ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่มีจุดขายที่การแช่น้ำท่ามกลางธรรมชาติที่แสนสวยงาม โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่จะสวยงามมากที่สุด ท่ามกลางบรรยากาศที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ไหลพาดผ่าน เสียงน้ำตกดังเป็นระยะ ๆ ยิ่งช่วยเพิ่มความรื่นรมย์ใจให้ทุก ๆ คนที่มาเยือน
นอกจากนี้ยังมีภูเขา Tanigawa ถือเป็นหนึ่งในภูเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น สูงกว่า 1977 เมตร มีกิจกรรมตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นการปีนเขาในฤดูร้อน การนั่งกระเช้าชมใบไม้แดงในฤดูใบไม้ร่วง หรือการเล่นสกีในฤดูหนาว โดยมีกระเช้าให้บริการถึงยอดเขา ใครมาในฤดูใบไม้ร่วงต้องไม่พลาดการขึ้นกระเช้าชมสีแดงเลยทีเดียว
นอกจากนี้กิจกรรม Extreme ของที่นี่ก็ขึ้นชื่อไม่เบา ทั้งการล่องแก่ง หรือกระโดดหน้าผาสูง มีการควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญ รับรองความปลอดภัยได้ไม่มีอัตรายรุนแรงแน่นอน แต่ถ้าใครกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บเล็กน้อยอย่างแผลถลอกหรืออาการฟกช้ำที่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับกิจกรรม Extreme ก็ไม่ต้องกังวล ถ้าเราทำประกันการเดินทางก่อนไป
ที่เที่ยวญี่ปุ่น เพราะด้วยการไป เที่ยวอเมริกา อาจต้องมี ค่าใช้จ่าย ที่ค่อนข้างสูง นักท่องเที่ยว จึงต้องประเทศ ที่สามารถ เดินทางไป เที่ยวได้โดย ไม่ต้องใช้ ค่าใช้จ่าย ที่สูงมากนักซึ่ง ประเทศญี่ปุ่น ก็เป็นอีกหนึ่ง ประเทศที่ นักท่องเที่ยวส่วนมาก นิยมเดินทางไปเที่ยวกัน เพราะประเทศญี่ปุ่น
มีสถานที่ท่องเที่ยว สวยงามมากมายมี ภูเขาไฟฟูจิ (Fuji) เป็นภูเขาที่สวยที่สุด ในญี่ปุ่น มีความสูงเหนือ ระดับน้ำทะเล อยู่ที่ 3,776 รูปร่างของภูเขา มีความเท่ากัน เกือบทุกด้าน ซึ่งมีความ สวยงามมาก นอกจากนั้น บริเวณรอบๆ ภูเขาไฟฟูจิ ก็ยังมีสถานที่ เที่ยวมากมายอีก เช่น ทะเลทราบคาวากูจิโกะ (Kawaguchiko Lake)
เป็นทะเลสาบ ขนาดใหญ่เป็น อันดับที่สอง ของทั้ง 5 ทะเลสาบ บริเวณรอบ ภูเขาไฟฟูจิ แถมตรงที่ ทะเลสาบนั้น ยังมีกระเช้า ที่ขึ้นไปยัง ด้านบนของ ภูเขาเท็นโจ (Mt.Tenjo) ให้ได้ชมวิวทะเลสาบ และถ่ายรูปภูเขาไฟฟูจิ กันอีกด้วย และถ้านักท่องเที่ยว คนไหนที่อยาก จะนอนพักโรงแรม ตรงแถวนั้น ก็ยังมีโรงแรม ให้เช่านอนพักกัน ใกล้ๆภูเขาไฟฟูจิ ให้ได้ชม วิวทิวทัศน์ ของภูเขาไฟ กันอย่างเต็มที
ถ้าหากว่าจะบอกว่า เป็นที่เที่ยวคล้ายกัน ก็อาจจะพูด ไม่ได้เต็มปาก เรียกว่ามีสิ่ง ที่คล้ายกัน จะเข้าท่ากว่า นั่นก็คือ ดอกนางพญาเสือโคร่ง ที่มีสีชมพูคล้าย ดอกซากุระของญี่ปุ่น ที่ถือว่าเป็น ดอกไม้ประจำชาติ ของประเทศญี่ปุ่น เลยก็ว่าได้ ซึ่งมีมากมายกว่า 300 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์
ที่เรามักพบ เจอกันบ่อยๆ ในญี่ปุ่น นั่นคือพันธุ์ โซเมอิโยชิโนะ เพราะจะมีอยู่ มากที่สุด ซึ่งจะผลิบาน เต็มที่ใน เดือนมีนาคม หรือเมษายน โดยญี่ปุ่น ก็จะจัดงาน ที่ชื่อว่า ฮานามิ (Hanami) หรือที่เราเรียกกันว่า งานดอกซากุระ จัดขึ้นหลาย จังหวัดในญี่ปุ่น เช่นเมือง เซนได(Sendai)
แถบภูเขาฟูจิ หรือเมือง ฮ็อกไกโด (Hokkaido) ก็มีด้วยเช่นกัน ซึ่งภายในงาน ก็จะเต็มไปด้วย คนที่เดินชมงาน มีทั้งคนญี่ปุ่น แล้วก็คนต่างชาติ มีของขายมากมาย ผู้คนในงาน ก็จะเดินชม ความสวยงาม ของดอกซากุระ โดยแถวบริเวณ ปราสาท วัด และสวนสาธารณะ จะเป็นจุดที่ ดอกซากุระเยอะมากๆ
สำหรับเมือง โตเกียว (Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น ก็คงยังเป็น อีกหนึ่งสถานที่ ท่องเที่ยวใน แถบเอเชีย ที่คนไทยหลายคน ฝันอยากที่จะ เดินทางไปเที่ยว มากที่สุด เพราะด้วยเหตุว่า เมืองโตเกียว เป็นเมืองที่ เต็มไปด้วย ผู้คนมากมาย จากหลายประเทศ ที่ทั้งต่างเดินทาง มาเที่ยวและ พักอาศัยอยู่ที่นี่ เป็นจำนวนมาก
อีกทั้งอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว แหล่งช้อปปิ้ง ที่มีมากมาย หลากหลายแบรด์ มีทั้งแบรนด์ดังๆ และแบรนด์ทั่วไป ซึ่งที่สำคัญ ยังมีราคาถูก มากอีกด้วย และรอบเมืองโตเกียว ก็ยังมีเมือง ชินจูกุ (Shinjuku) สถานที่เที่ยวสุดฮิต ที่คนไทยทั้งหลาย ชอบเดินทางไปเที่ยว หรือจะเป็นย่าน ชิบูย่า (Shibuya)
ที่นักท่องเที่ยว จะต้องไปยืน ถ่ายรูปที่ 5 แยกชิบูย่ากัน เพื่อให้รู้ว่า เรามาถึงที่ แถวย่านนี้แล้ว และสำหรับคน ที่ชอบเล่นเกมส์ ก็ยังมีแหล่ง เครื่องเกมส์ทั้งหลาย ที่แถวย่าน อากิฮาบาระ (Akihabara) ที่มีทั้งเกมส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่น่าสนใจมากมาย ให้เราได้ไป ช้อปกันอย่างเต็มที่
อีกหนึ่งเมือง ที่นักท่องเที่ยว จะชอบเดินทาง ไปเที่ยวกัน ก็คือจังหวัด ฮ็อกไกโด (Hokkaido) ที่นักท่องเที่ยว จะมาเที่ยวกัน ในช่วงหน้าหนาว มาท้าลมหนาว หรือบางคน ก็มาเล่น สกีหิมะกัน และถ้าพูดถึง ฮ็อกไกโดแล้ว ก็ต้องนึกถึง ซัปโปโร (Sapporo) ซึ่งถือว่าเป็น สถานที่เที่ยวหลัก ของที่นี่เลย
และที่เมืองนี้ก็จะมี สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) เป็นสวนสาธารณะ ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เมืองซัปโปโร มีความยาวถึง 1.5 กิโลเมตร เป็นสถานที่ ไว้ใช้จัดงาน อีเวนท์ต่างๆ ซึ่งงานที่มี ชื่อเสียงโด่งดัง มากที่สุด ก็คืองาน เทศกาลฤดูร้อน (Summer Festival) ซึ่งจะมีเบียร์การ์เด้น ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
และก็งาน เทศกาลหิมะ (Snow Festival) ที่จะจัดงานแข่ง แกะสลักน้ำแข็ง ขึ้นทุกปี และภายในงาน ก็จะเต็มไปด้วย ผลงานน้ำแข็งและ หิมะแกะสลัก ขนาดที่ใหญ่มาก แถมคนไทย ที่มาแข่งขันที่นี่ ก็ได้รับรางวัลชนะเลิศ หลายปีติดแล้วด้วย หนังทําเงิน2017
ซูชิญี่ปุ่น (Sushi) ถ้าคุณคิดว่า ซูชิที่ไทย มีรสชาติที่อร่อยแล้ว แต่ถ้าคุณได้มีโอกาส มาทานซูชิ ที่ญี่ปุ่นซักครั้ง คุณจะลืมรสชาติ ของที่ไทยไปเลย เพราะด้วยความเป็น ต้นตำหรับของที่นี่ วัตถุดิบที่ใช้ และคุณภาพของอาหาร แต่ละชนิด บอกได้เลยว่า ที่นี่คือของจริง
ซึ่งร้านซูชิที่ญี่ปุ่น ก็มีมากมายหลายร้าน ทั้งในย่าน Tokyo Shibuya Shijuku ที่มีตั้งแต่ ราคาถูก ไปถึงราคาแพง ซึ่งคุณภาพอาหาร ก็จะแตกต่างกันออกไป แต่บอกว่าเงิน ที่คุณเสียไปกับการ กินอาหารที่นี่ คุ้มทุกบาท ทุกสตางค์แน่นอน และเนื้อปลาที่นี่ มีความสดมาก และไม่มีกลิ่นคาวเลย แม้แต่นิดเดียวล
ราเมน และอูด้ง (Ramen, Udon) อีกหนึ่งอาหาร ที่เป็นต้นตำหรับ สำหรับใครที่ชอบ ทานราเมน เป็นประจำที่ไทยอยู่แล้ว แต่ถ้าได้มาลอง ทานที่ญี่ปุ่น บอกได้เลยว่า ราเมนของที่นี่ รสชาติน้ำซุปที่มี ความเป็นเอกลักษณ์ ของแต่ละร้าน จะมีความแตกต่างกันออกไปทั้งกลิ่นเครื่องเทศหอมๆ วัตถุดิบคุณภาพดี ให้ปริมาณเต็มชาม ความเหนียวนุ่มของเส้น แค่ได้ยินแค่นี้ ก็ชวนให้น้ำลายไหล กันแล้ว ที่เที่ยวเกาหลี
ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญต่อตลาด “คนไทยเที่ยวญี่ปุ่น” ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง! สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นโดยไม่ต้องขอวีซ่า พำนักได้ไม่เกิน 15 วัน เหมือนกับช่วงปกติก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19
ศิริพร บัณฑิตย์จิรกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หลังจากญี่ปุ่นประกาศ “เปิดประเทศ” นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าไปได้ไม่ยุ่งยาก มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.2565 เป็นต้นไป โดยมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวที่เพิ่มมาจากสมัยก่อนโควิด-19 ระบาดคือ ต้อง “แสดงเอกสารรับรอง” อย่างใดอย่างหนึ่ง
ระหว่าง 1.ใบรับรองการตรวจโควิด-19 ผลเป็นลบ โดยต้องตรวจภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางจากไทย ด้วยวิธีที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนด เช่น RT-PCR (ไม่สามารถใช้ผลตรวจ ATK ได้)
หรือ 2.ใบรับรองการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม ด้วยยี่ห้อวัคซีนตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศรับรอง เช่น ฉีดซิโนแวคหรือซิโนฟาร์มครบ 3 เข็ม หรือฉีดซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม 2 เข็มแรก ตามด้วยไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือแอสตราเซเนก้าเป็นเข็มที่ 3 ก็สามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้
ตามที่ JNTO ได้ติดตามผลตอบรับจากบริษัททัวร์ ส่วนใหญ่บอกว่ากระแสตอบรับดีมาก! นักท่องเที่ยวไทยต้องการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงไฮซีซัน “ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี” และ “ฤดูหนาว” โดยเฉพาะช่วงหยุดยาว “เทศกาลปีใหม่” มีดีมานด์จองแพ็คเกจท่องเที่ยวเข้ามามากพอสมควร บริษัททัวร์ถึงขั้นต้องรับพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับกระแสการเดินทางที่ฟื้นตัว
“นอกจากนี้ยังรับทราบจากบริษัททัวร์เช่นกันว่า เมื่อดีมานด์ท่องเที่ยวญี่ปุ่นฟื้นตัวเร็ว ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินเส้นทางไทย-ญี่ปุ่น แพงขึ้น 15-20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไทยบางส่วนเลือกใช้วิธีแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศอื่นเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย”
สำหรับแนวทางการส่งเสริมตลาดคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นนับจากนี้ JNTO จะมุ่งโปรโมทตลาดกลุ่มเดินทางซ้ำ กลุ่มเดินทางครั้งแรก และกลุ่มลักชัวรี พร้อมเชิญอินฟลูเอนเซอร์ไทยโปรโมทการท่องเที่ยวเมืองรอง เพราะมั่นใจว่าสินค้าและบริการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นใน 47 จังหวัด ทั่ว 10 ภูมิภาค มีเสน่ห์ ไม่รู้เบื่อ ทำให้คนไทยต้องการไปเที่ยวญี่ปุ่นซ้ำหลายๆ ครั้ง
JNTO เตรียมจัดงานส่งเสริมการขาย “งานเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง 2023” (Visit Japan FIT Fair 2023) ครั้งที่ 14 ตั้งแต่วันที่ 27-29 ม.ค.2566 ณ พารากอนฮอลล์ มีกว่า 100 บูธมาร่วมงาน ทั้งผู้ประกอบการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของแต่ละท้องถิ่นในญี่ปุ่น โดยคาดหวังว่าจะมีจำนวนผู้เข้าชมงานใกล้เคียงกับเมื่อปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 55,000 คน ขณะเดียวกันยังเตรียมเข้าร่วมงาน “มหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 28” (Thai International Travel Fair 2023) จัดโดยองค์กรวิชาชีพภาคการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 16-19 ก.พ.2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ด้วย
ด้านสถิติเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่น 1,318,977 คน มากเป็นอันดับ 6 ของตลาดต่างชาติเที่ยวญี่ปุ่น เป็นอันดับ 5 ของตลาดเอเชียเที่ยวญี่ปุ่น และเป็นอันดับ 1 ของตลาดอาเซียนเที่ยวญี่ปุ่น โดยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีจำนวนเกิน 1 ล้านคน!
รายงานข่าวจากสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ระบุว่า หลังจากญี่ปุ่นประกาศเปิดประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.2565 เป็นต้นไป ส่งผลให้ในช่วงวันหยุดยาวตั้งแต่วันที่ 13-16 ต.ค.ที่ผ่านมา “ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์” (เที่ยวบินรหัส XJ) มีอัตราขนส่งผู้โดยสาร (โหลดแฟคเตอร์) เส้นทางบินจากกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ประเทศญี่ปุ่น 2 เส้นทาง ได้แก่ โตเกียว และโอซาก้า อยู่ที่ประมาณ 90-95% ทั้งนี้ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ตั้งเป้าหมายโหลดแฟคเตอร์เส้นทางญี่ปุ่นตลอดปีนี้ที่ 85-90%
สันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า “ไทยแอร์เอเชีย” (เที่ยวบินรหัส FD) ได้เริ่มให้บริการเที่ยวบินปฐมฤกษ์ เส้นทาง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – ฟุกุโอกะ แล้วเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งเเรกของไทยแอร์เอเชียที่เปิดบินตรงสู่ประเทศญี่ปุ่น
“ไทยแอร์เอเชียเลือกบินตรงสู่เมืองฟุกุโอกะ ซึ่งเป็นเมืองน่ารักที่มีศักยภาพพร้อมด้านการท่องเที่ยว โดยหลังประเทศญี่ปุ่นประกาศผ่อนคลายมาตรการ ไม่ต้องใช้วีซ่า ไม่ต้องผ่านทัวร์ ไม่จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้ความสนใจการเดินทางสู่ญี่ปุ่นสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเที่ยวบินปฐมฤกษ์ขาเข้าฟุกุโอกะที่ผ่านมามีอัตราขนส่งผู้โดยสารสูงถึง 95% และเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ปลายปีกระเเสการเดินทางจะเติบโตต่อเนื่อง”
ปัจจุบันไทยแอร์เอเชียบินตรงเส้นทางสู่ฟุกุโอกะแล้ว 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A321 จำนวน 236 ที่นั่ง และจะเพิ่มเป็น 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตั้งเเต่วันที่ 30 ต.ค.นี้ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี
ทั้งนี้ ไทยแอร์เอเชียได้ทำงานร่วมกับการท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทย (ททท.) อย่างใกล้ชิดในการประชาสัมพันธ์เส้นทางดังกล่าว เป้าหมายสำคัญคือการดึงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้าไทย กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศช่วงปลายปี
ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า หลังจากประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของคนไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับความนิยมจากคนไทย 3 อันดับแรกของปี 2565 ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ สปป.ลาว อ้างอิงข้อมูลจาก Booking.com ผนวกกับได้รับอานิสงส์การที่ “เงินบาท” แข็งค่ากว่าเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศปลายทาง แม้ว่าสินค้าและบริการใน “ญี่ปุ่น” จะปรับราคาขึ้นจากเดิม แต่นักท่องเที่ยวคนไทยมองว่าเป็นราคาพอใจจ่ายด้วยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ชื่นชอบและเป็นความคุ้มค่าทางจิตใจ!
อีกทั้งการเข้ามาทำตลาดท่องเที่ยวขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ และธุรกิจสายการบินทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์) กับสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (ฟูลเซอร์วิส) ได้เปิดทำการบินพร้อมกับเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นจูงใจให้คนไทยกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง วางแผนการเดินทางเที่ยวต่างประเทศแทนในประเทศ โดยใช้โอกาสในช่วงวันหยุดยาวออกเดินทาง ทำให้บรรยากาศท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันหยุดยาวระหว่างวันที่ 13-16 ต.ค.ที่ผ่านมาไม่คึกคัก
สำหรับเป้าหมายการดึง “นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น” มาไทยในปีนี้ ททท.ตั้งเป้าไว้ไม่น้อยกว่า 350,000 คน สร้างรายได้ประมาณ 21,000 ล้านบาท หลังจากในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ตั้งแต่ ม.ค.-ก.ย. มีจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นสะสม 178,557 คน
ส่วนปี 2566 ททท.ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไว้ที่ 1.25 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 75,000 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปราว 60,000 บาทต่อคน คิดเป็นการฟื้นตัว 70% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาไทย 1,787,185 คน สร้างรายได้ 93,758 ล้านบาท ก่อนที่สถานการณ์โควิด-19 ระบาดจะลากยาว กระทบต่อจำนวนในปี 2563 มีจำนวนลดลงเหลือ 320,331 คน ปี 2564 เหลือเพียง 9,461 คน
ญี่ปุ่น นั้นเป็นดินแดนที่น่ามาท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่แสนจะสวยงามอยู่มากมายหลายจุดด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็คือภูมิภาคตอนเหนือของเกาะหลักฮอนชู อย่าง ภูมิภาคโทโฮขุ ที่เคยโดยภัยพิบัติครั้งใหญ่จากคลื่นสึนามิถล่ม แต่ก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง และสำหรับ 10 แหล่งท่องเที่ยวสุดสวยในโทโฮขุ ที่นักท่องเที่ยวต้องไม่พลาดแวะมาเที่ยวชมเมื่อมีโอกาสมายังภูมิภาคแห่งนี้แล้ว ก็มีหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจดังนี้
ฮิโรซากิ นั้นเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่อย่างมากอีกเมืองหนึ่งในอาโอโมริ โดยมันเป็นเมืองป้อมปราการมาตั้งแต่สมัยเอโดะ และมีความโดดเด่นอย่างมากจากปราสาทฮิโรซากิที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งในอดีตเป็นศูนย์บัญชาการในการปกครองของตระกูลทสึงะรุ โดยปราสาทแห่งนี้นั้นเป็นปราสาทเก่าแก่ที่ยังคงสภาพเดิมๆ มาจนถึงทุกวันนี้เพราะไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ใดๆ เลย ซึ่งภายในปราสาทในปัจจุบันก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และจัดแสดงสิ่งของต่างๆ มากมายของเหล่านักรบซามูไร
ส่วนทางด้านของสวนหน้าปราสาทนั้นก็มีความสวยงามด้วยต้นซากุระจำนวนกว่า 2,500 ต้นเลยทีเดียวและมันจะผลิดอกพร้อมๆ กันอย่างสวยงามในเดือนเมษายน และเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่ผลิตแอปเปิ้ลออกมามากที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วยส่วนการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นนั้นสามารถใช้บริการรถไฟเจอาร์ มาลงยังสถานีรถไฟฮิโรซากิ ก็จะสัมผัสกับบรรยากาศของเมืองซามูไรแห่งนี้แล้ว
ฮิระอิซุมิ นั้นถือว่าเป็นเมืองมรดกโลกแห่งล่าสุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในจังหวัดอิวาตะ และเป็นเมืองที่ไม่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติใหญ่ในภูมิภาคโทโฮขุแต่อย่างใด โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่หลายแห่งที่น่าสนใจมาท่องเที่ยวทั้ง วัดชูซอน-จิ เคอิได ที่มีสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นที่สวยงามอย่างมาก
แต่กลับกันกับวัดโมสึ-จิ ที่จะมีความสวยงามด้วยสวนญี่ปุ่นที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยเฮอัน และขึ้นชื่อว่าเป็นสวนญี่ปุ่นที่งดงามมากที่สุดอีกแห่งของญี่ปุ่น
ทางด้านของภูเขาคินเคอิซัน ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยจะมีเจดีย์ 5 ชั้นซึ่งเป็นจุดที่บ่งบอกตำแหน่งของสุสานภรรยาของ มินาโมโตะโนะ โยชิสึเนะ ซึ่งเขาคือวีรบุรุษที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักกันเป็นอย่างดีส่วนทางด้านของยานากิโนะโกโช และ ฮิระอิซุมิ อิเซคิ-กุน นั้นชาวญี่ปุ่นก็เชื่อกันว่าเป็นที่พำนักของฟูจิวาระ โนะ คิโยฮิระ และครอบครัวของเขา ส่วนการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้น คุณสามารถใช้บริการของรถไฟ เจอาร์ โทโฮคุ ชินคันเซน โดยมาลงที่สถานีอิจิโนะเซคิ ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศเก่าแก่ของเมืองมรดกโลกแห่งนี้แล้ว
ไอสุวาคามัตสึ ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวขนาดเล็กที่มีความสวยงามของธรรมชาติอย่างมาก โดยตั้งอยู่ในจังหวัดฟุกุชิมะ ภายในตัวเมืองนั้นโดดเด่นด้วยตัวปราสาททสึรุงะ ที่เป็นของไดเมียวตระกูลอะชินะ โดยได้รับการปรับปรุงเรื่อยมากจนปัจจุบันทีความสูง 5 ชั้น และเป็นปราสาทที่มีความสำคัญอย่างมากในหน้าประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นจากสงครามไอซุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสมรภูมิของสงครามโบชิน สมัยช่วงปลายๆ การปกครองของระบอบโชกุน โดยปราสาทแห่งนี้โดดเด่นด้วยกระเบื้องสีแดง และได้รับฉายาว่า ปราสาทนกกระเรียน โดยรอบๆ ปราสาทนั้นจะมีต้นซากุระปลูกอยู่จำนวนมากเลยทีเดียว และสวยงามอย่างมากเมื่อดอกซากุระบาน
นอกจากนี้แล้วก็มี Aizuwakamatsu City Hall ซึ่งเป็นรูปแบบของอาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรปส่วนสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงามก็คือภูเขา Iimori ที่นับว่ามีธรรมชาติที่งดงามเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติที่ได้รับความนิยมและเป็นแหล่งแช่ออนเซ็นที่เก่าแก่อีกแห่ง
อิวากิ ถือว่าเป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก โดยตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีประชากรอาศัยอยู่มากนัก และเป็นจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นให้ความนิยมอย่างมาก โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างมากหลายแห่งด้วยกันทั้งในส่วนของ Aquamarine Fukushima ที่เป็นแหล่งรวมพันธุ์ปลาหายากมากที่สุดของญี่ปุ่น
ส่วนทางด้านของ Iwaki Marine Tower นั้นก็เป็นจุดที่คุณสามารถชมความสวยงามของเมืองอิวากิได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว นอกจานกี้แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกที่มีความงดงามทั้ง Iwaki Yumoto Onsen ซึ่งเป็นแหล่งออนเซ็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
โดยมี Spa Resort Hawaiian เป็นอีกสวนน้ำขนาดใหญ่ที่มีความครบวงจรอย่างมากส่วนการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟ JR East สาย Joban Line จากหลายๆ เมืองมาลงยังสถานีรถไฟ Iwaki Station ก็จะถึงแล้ว
อาโอโมริ นั้นเป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชู โอบล้อมไปด้วยทะเลทั้งสามด้าน โดยเป็นเมืองที่มีความสวยงามทางด้านธรรมชาติอย่างมาก โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจทั้งอุทยานแห่งชาติ Hachimantai และ Towada
ส่วนที่ทะเลสาบ Towada ที่เกิดจากภูเขาไฟนั้นมีความสวยงามอย่างมาก และมีความลึกเป็นอันดับสามของญี่ปุ่นที่ความลึก 327 เมตร นอกจากนี้แล้วที่ สถาบันวิจัยแอปเปิ้ล ก็นับว่าน่ามาท่องเที่ยวเพราะคุณจะได้สัมผัสกับแอปเปิ้ลมากมายหลายสายพันธุ์
ส่วนบรรดาเทศกาลที่น่าสนใจของเมืองแห่งนี้ก็มีทั้งเทศกาลอาโอโมริเนบุตะ หรือจะเป็นเทศกาลเนบุตะ ส่วนการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟชินคันเซ็น จากโตเกียว ได้เลย นับว่าเป็นเมืองหลักอีกเมืองที่น่าสนใจมาท่องเที่ยวและเป็นอีกจุดที่สามารถเชื่อต่อไปยังภูมิภาคฮอกไกโดได้ด้วย
อะคิตะ นั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคโทโฮขุ นับว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของญี่ปุ่น และยังเป็นแหล่งผลิตเหล้าญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่ออย่างมากอีกด้วย เพราะภูมิประเทศนั้นมีป่าไม้สนจำนวนมากมาย
และมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาดอย่างมากโดยมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั้งทะเลสาบทะซะวะ ซึ่งเป็นทะเลสาบที่มีความลึกมากที่สุดของญี่ปุ่นส่วนชายฝั่งทางด้านตะวันตกนั้นจะมีรูปปั้นสีทองของเจ้าหญิงทะจึโกะ ซึ่งเป็นหนึ่งในตำนานของญี่ปุ่น ส่วนของอุทยานแห่งชาติโทวะดะ ฮะจิมันไต นั้นก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากและสวยงามน่ามาท่องเที่ยว ส่วนภายในเมืองนั้นจะมีปราสาทคุโบตะ ที่สวยงามและมีร้านค้ามากมายรายล้อมในสมัยเอโดะ
ส่วนเทศกาลสำคัญในจังหวัดแห่งนี้นั้นก็มีทั้งเทศกาลคันโต ทางด้านของการเดินทางมายังที่นี่นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟสาย JR Akita Shinkansen โดยมาลงที่สถานี Akita ก็ถือว่าถึงแล้ว
ยามากาตะ นั้นเป็นเมืองทางใต้สุดของภูมิภาคโทโฮขุ โดยมีบริเวณติดกับทะเลญี่ปุ่น เป็นอีกเมืองที่ไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงในเรื่องของการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเท่าใดนัก แต่ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติที่งดงามและเป็นแห่งการแช่ออนเซ็นรักษาโรคที่มีชื่อเสียงอย่างมากอีกแห่งในหมู่นักท่องเที่ยว และมีความนิยมจัดทัวร์มาเพื่อแช่ออนเซ็นโดยเฉพาะอีกด้วย
ส่วนที่ ภูเขา Dewa Sanzan ก็นับว่ามีความสวยงามของธรรมชาติและมีเส้นทางในการเดินชมธรรมชาติที่น่ามาท่องเที่ยวอย่างมาก โดยมีวัดยามาเดระ ที่มีความสูงอย่างมาก เพราะคุณต้องเดินขึ้นบันไดไปกว่าพันขั้น ก็จะมาพบกับความสวยงามของวัดแห่งนี้ โดยการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟ JR จาก สถานี Tokyo Station โดยมาลงยังสถานี Yonezawa Station
มัตสึชิม่า เป็นเมืองที่ประสบกับภัยพิบัติอย่างหนักในเหตุการณ์เมื่อปี ค.ศ.2011 แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว โดยความสวยงามของอ่าวมัตสึชิม่า ที่ได้รับการยกย่องกันว่าเป็น 1 ใน 3 ของอ่าวที่มีความสวยงามอย่างมาก
ส่วนที่ศาลเจ้า Jikaku Daishi นั้นก็นับว่าเป็นศาลเจ้าที่น่าสนใจและถูกสร้างโดย ดาเตะ มาซามูเนะ ไดเมียวที่มีชื่อโด่งดังของเซนได โดยศาลเจ้าจะเปิดให้เข้าชมทุกๆ 33 ปี
โดยที่ศาลเจ้า Godaido นั้นนับว่ามีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างมาก ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจอย่างมากก็คือการล่องเรือเที่ยวชมความสวยงามของอ่าวแห่งนี้ โดยจะพาคุณผ่านเกาะ Kanejima หรือเกาะระฆัง ที่สวยงาม
นอกจากนี้แล้วอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาเที่ยวชมก็คือ Michinoku Date Masamune Rekishikan ซึ่งจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งของ ดาเตะ มาซามูเนะ และฉากต่างๆ มากกว่า 25 ฉากด้วยกัน ส่วนการเดินทางมายังที่มัตสึชิม่า นั้นคุณสามารถใช้บริการของรถไฟ JR สายเซคี จากสถานีเซนได โดยมาลงที่สถานี Matsushima kaigan นับว่าเป็นอีกเมืองที่น่ามาเที่ยว
เซนได คืออีกเมืองในโทโฮขุ ที่ประสบภัยพิบัติอย่างหนักในภัยพิบัติจากสึนามิในปี ค.ศ.2011 ก่อนที่จะได้รับการฟื้นฟูมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมืองแห่งนี้ถือว่ามีความสวยงามด้วยธรรมชาติ และมีแม่น้ำฮิโระเสะที่สวยงาม โดยถนนทุกเส้นในเมืองนั้นจะมีการปลูกต้นเคยะขิเอาไว้ จนได้รับฉายาว่า เมืองแห่งต้นไม้
ส่วนที่ปราสาทเซนไดนั้นก็นับว่ามีความสวยงามอย่างมาก และมีรูปปั้นของไดเมียวเจ้าของฉายามังกรตาเดียวอย่าง Date Masamune อยู่บนหลังม้า โดยใกล้ๆ กันนั้นก็จะมีพิพิธภัณฑ์ของปราสาทอีกด้วย และคุณยังสามารถเข้าไปเที่ยวชมสุสานของ Date Masamune ได้อีกด้วย
นอกจากนี้แล้วศาลเจ้า Osaki Hachimangu ก็นับว่ามีความสวยงามและได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่าของญี่ปุ่นอีกด้วย ส่วนที่ศาลเจ้าโทโชกู นั้นก็นับว่าน่ามาท่องเที่ยว เพราะเป็นศาลเจ้าที่ใช้สำหรับบวงสรวงต่อโชกุนอิเอยะสุ ทางด้านของวัดรินโน ก็น่ามาท่องเที่ยวเช่นกัน โดยเมืองแห่งนี้สามารถเดินทางมาได้โดยใช้บริการของชินคันเซนสาย Tohoku Shinkansen โดยมาลงที่สถานี JR Sendai ก็จะถึงแล้ว
คาคุโนดาเตะ นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดอาคิตะ ถือว่าเป็นเมืองแห่งซามูไรอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กๆ และไม่ได้มีปราสาทขนาดใหญ่โตเหมือนที่อื่นแต่สำหรับปราสาทคาคุโนดาเตะ ที่ตั้งโดดเด่นอยู่หลายเมืองก็นับว่าเก่าแก่งดงามควรค่าแก่การมาเที่ยวชมไม่ใช่เล่น
แถมบริเวณโดยรอบปราสาทนั้นเต็มไปด้วยบ้านเรือนแบบเก่าที่เป็นหมู่บ้านซามูไรจำนวนกว่า 80 หลังที่มีความเก่าแก่และแสดงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของซามูไรในอดีต และบ้านแต่ละหลังนั้นจะมีการปลูกต้นซากุระเอาไว้อีกด้วย ทำให้ในช่วงของเดือนเมษายนนั้นที่นี่จะเต็มไปด้วยดอกซากุระบาน สวยงามเป็นอย่างมาก และเป็น 1 ใน 100 สถานที่ชมดอกซากุระที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น และบ้านซามูไรบางหลังนั้นก็เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คุณสามารถเข้าไปชมความงดงามได้อีกด้วย
ในขณะที่มีหลายหลังยังใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่ในปัจจุบันของลูกหลานซามูไร ส่วนใครที่เดินมาชมความงดงามของปราสาทคาคุโนดาเตะ ก็สามารถมองกลับไปชมวิวที่แสนจะงดงามของเมืองคาคุโนดาเตะ ได้อย่างชัดเจน โดยการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้นั้นคุณสามารถใช้บริการของชินคันเซน ขบวน JR Akita Shinkansen ต้นทางที่สถานีโตเกียว แล้วให้คุณมาลงที่ สถานีคาคุโนดาเตะ ก่อนที่จะถึงสถานีอาคิตะ
โลกใบนี้ เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และประเพณี หากจะพูดถึงประเทศที่คงความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงที่สุด หนึ่งในนั้นต้องเป็นประเทศญี่ปุ่น อย่างแน่นอน โดยเฉพาะวิถีชีวิต ที่นอกจากเต็มไปด้วยความเร่งรีบ แต่ก็แฝงไปด้วยความเอาใจใส่ ความเสียสละ มีจิตสาธารณะ ทั้งมารยาททางสังคมและสามัญสำนึก
เพราะฉะนั้น ก่อนที่คุณจะเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ก็ควรจะทราบเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ เพื่อที่จะได้เข้ากับบ้านเมือง ผู้คน และวัฒนธรรมของเขาได้ เมื่อเป็นอาคันตุกะที่ดี เจ้าบ้านก็ย่อมอยากต้อนรับ คล้ายดั่งสุภาษิตที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม”
โดยล่าสุด ทางสถานทูตไทย ณ กรุงโตเกียว จึงได้แบ่งปัน 10 ข้อควรรู้เมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น มาให้นักท่องเที่ยวชาวไทยได้รู้กัน ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ชี้แจงว่า “ไม่ได้มีเจตนาที่จะแสดงความเห็นว่าสังคมประเทศใดดีกว่าหรือด้อยกว่าแต่อย่างใด เพียงแต่เพื่อความเข้าใจและประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น”
1. การขึ้นลงบันไดเลื่อน ยืนให้ชิดซ้าย หากเร่งรีบให้เดินในช่องทางขวา ยกเว้นบางพื้นที่ เช่น ภูมิภาคคันไซ คนญี่ปุ่นจะยืนชิดขวาและเปิดพื้นที่ทางซ้ายสำหรับการเดินขึ้นลง รวมไปถึงการเดินบนทางเท้า คนญี่ปุ่นจะแบ่งช่องทางการเดินเท้าอย่างชัดเจน เป็นระเบียบจนคนต่างชาติสังเกตได้ทีเดียว
2. งดการพูดคุยโทรศัพท์เคลื่อนที่ ขณะโดยสารขนส่งสาธารณะ เช่น รถประจำทางและรถไฟ รวมทั้งปิดเสียงโทรศัพท์และเปิด manner mode หรือระบบสั่น
3. การเข้าคิวเป็นเรื่องปกติที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต่อคิวรอรถประจำทาง เข้าห้องน้ำ หรือรอคิวร้านอาหารและซื้อของตามร้านค้า แม้กระทั่งผู้สูงอายุหรือเด็กก็รอคิว ไม่มีการแซง เพราะทุกคนถือว่าต้องให้คนมาถึงก่อนได้รับบริการก่อนตามลำดับ
4. เวลาโดยสารลิฟท์ ผู้ที่เข้าไปคนแรกควรกดเปิดประตูให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ เข้ามาในลิฟท์ และกดให้คนอื่นๆ ออกจากลิฟท์ไปก่อน หากไปที่ชั้นเดียวกัน คนไทยอาจประหลาดใจ หากพบว่าคนกดประตูลิฟท์ให้เป็นผู้หญิง และผู้โดยสารลิฟท์คนอื่นๆ เป็นผู้ชายทั้งหมด
5. เวลาชำระเงินตามร้านค้า ควรวางเงินลงในถาดที่ร้านจัดเตรียมไว้ ข้อดีคือเป็นการป้องกันการสับสนเมื่อร้านค้ารับและทอนเงินคืน หากสังเกต เมื่อเราชำระเงินด้วยธนบัตรใหญ่ เช่น 1 หมื่นเยน พนักงานจะพูดย้ำกับลูกค้าว่ารับเงินมา 1 หมื่นเยน พร้อมกับถือธนบัตรโชว์แก่พนักงานคนอื่นๆ ว่ารับธนบัตรใหญ่มา และเมื่อทอนเงินคืน จะนับเงินให้เห็นและวางลงในถาดคืนแก่ลูกค้า
6. เมื่อต้องการได้รับบริการจากร้านค้า หากพนักงานกำลังให้บริการลูกค้าคนอื่นอยู่ก่อนหน้า ต้องรอจนกว่าจะมีพนักงานคนอื่นมาให้บริการหรือจนกว่าพนักงานจะให้บริการลูกค้าคนก่อนหน้าเสร็จก่อน ไม่ควรแทรกด้วยการถามหรือเรียกให้มาบริการตนก่อน
7. หลีกเลี่ยงการพูดคุยเสียงดังในที่สาธารณะ คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการเคารพความเป็นส่วนตัวและถือว่าพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ส่วนรวมที่คนในสังคมใช้ร่วมกัน เราจึงเห็นบรรยากาศในสถานีรถไฟญี่ปุ่นในช่วงเช้าและเลิกงานว่าไม่ค่อยมีเสียงดังจากการพูดคุยทั้งที่มีคนจำนวนมาก แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงคนเดินมากกว่า
8. แยกขยะเวลาทิ้งโดยทิ้งขยะให้ถูกต้องตามประเภทของขยะ ทั้งนี้ โดยทั่วไปในญี่ปุ่น เราจะไม่พบถังขยะตามทางเท้า ยกเว้นหน้าร้านค้าสะดวกซื้อสถานีรถไฟ และภายในอาคาร
9. ขับรถโดยคำนึงถึงคนเดินเท้า โดยเฉพาะทางม้าลาย รถจะต้องหยุดให้คนข้ามถนนหมดเสียก่อนถึงขับต่อไปได้ ไม่มีการบีบแตรไล่หรือขับผ่านโดยไม่หยุดที่ทางม้าลาย
10. ไม่ใช้ตะเกียบของตนเองคีบอาหารให้คนอื่น หากจะคีบอาหารให้คนอื่น ใช้ตะเกียบคู่ใหม่หรือใช้ตะเกียบของตนและกลับด้านตะเกียบเพื่อคีบอาหาร รวมทั้งผู้รับอาหารไม่รับอาหารโดยนำตะเกียบมาคีบรับ แต่ยื่นจานของตนให้
เพียงแค่รู้เอาไว้ ถ้านำไปใช้ก็จะดีมาก แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดเคร่งเครียดจนเที่ยวไม่สนุกนะครับ คนญี่ปุ่นน่ารัก บางอย่างเป็นวัฒนธรรมเฉพาะตัว เราไม่รู้ ก็ไม่ผิด ไปเที่ยวต่างถิ่นก้ค่อยๆ ปรับตัวกันไปนะครับ
PostedBy Yossapat WongsawadPosted OnComments are off
ความในใจจากการไปที่ สถานที่ ท่องเที่ยว ยอดฮิตในญี่ปุ่น สนุกไหม มีตรงไหนที่ชอบมากบ้าง ส่วนตัวรู้สึกว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมุม ท่องเที่ยว ที่ตอบรับกับสายท่องเที่ยวแต่ละสายได้ครบมากๆ ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวไทย หรือถ้าเป็นสายธรรมชาติก็จะมีผมภูเขาน้ำตกทะเลสาบสวยงามหรือถ้าขายเป็นสาย Shopping อยากซื้อของน่ารักน่ารักสไตล์ญี่ปุ่นก็สามารถไปเออแหล่ง Shopping หรือห้างสรรพสินค้าได้เลย
ส่วนจุดเด่นของประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้หลายหลายคนอยากไปก็จะเป็นพวกความปลอดภัยที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีสูงมากสูงขนาดที่ว่าเค้าพูดว่าถ้าเราทำของหายที่ญี่ปุ่นน่ะคือเราได้คืนแน่นอน และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศเดี๋ยวสะอาดประมาณพวกเขามีระบบการจัดการขยะที่ยอดเยี่ยมมากๆทำให้ตรงนี้รู้สึกว่าเป็นแรงดึงดูดสำคัญที่ทำให้หลายคนตัดสินใจไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น
1. Kawachi Fuji Garden
อุโมงค์ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ พากันบานสะพรั่งช่วงเดือนเมษา ใครอยากได้ภาพสวย ๆ ไปอวดเพื่อนบอกเลยว่าถ้าพลาดที่นี่ไปเสียใจแน่นอน เพราะเขาจัดดอกไม้ให้เติบโตได้สวยงามและเป็นธรรมชาติที่น่าชื่นชมสุด ๆ
2. Happo Pond
วิวสวยจับใจจริง ๆ ตรงนี้จะเป็นแอ่งน้ำที่เหมาะมากสำหรับการมาเล่นสกีสนุก ๆ กันช่วงที่มีหิมะตก โดยความสุดยอดของวิวที่นี่คือมีภูเขาสูงกว่าสองพันเมตรตั้งตระหง่านอยู่นั่นเอง
3. Motonosumi-inari Shrine
ใครที่เป็นสายมู ยิ่งห้ามพลาด หากอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้วล่ะก็ เสาโทริอิสีแดงที่เรียงรายจากต้นภูเขาไปยังปลายทะเลนั้นมีกล่องรับบริจาคอยู่ ขอให้คุณตั้งจิตอธิษฐานให้ดี เท่านี้ทุกสิ่งที่เป็นเรื่องดี ๆ ก็จะมาถึงคุณ
4. Nachi Falls
น้ำตกแสนสวยของประเทศญี่ปุ่นที่มีวิวสวยมาก ๆ และมีศาลเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้ ๆ ให้คนเข้าไปกราบไหว้อีกด้วย
5. Zao Ski Resort
นี่เป็นรีสอร์ทที่คนญี่ปุ่นเองหรือคนต่างชาติก็นิยมไปกันมาก ๆ เลยล่ะ เพราะสามารถเล่นสกีได้อย่างสนุกสนาน หิมะขาวโพลนนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบสวยงามยิ่งขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย
คำแนะนำที่อยากบอกต่อ ถ้าใครคิดจะไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเหล่านี้
ความจริงแล้วแม้ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงแต่อย่างไรการที่เราออกไปเที่ยวต่างประเทศเราก็ควรมีการวางแผนที่รัดกุมแล้วก็รอบคอบมาก ๆ ส่วนตัวแนะนำให้ทำประกันชีวิตแล้วก็ประกันสุขภาพเพราะว่าถ้าเกิดเราป่วยที่ต่างประเทศกันหาหมอหาโรงพยาบาลจะไปเลือกทีลำบากมากถ้าเทียบกับประเทศไทย
นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีก ตัวเลขเดือน พ.ย.พุ่งอีก 87% หน่วยงานเกี่ยวข้องประเมินปี 2023 ฟื้นแน่ แต่มีอุปสรรค แรงงานไม่พอ
วันที่ 22 ธันวาคม 2565 บลูมเบิร์ก รายงานอัพเดตจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เข้าญี่ปุ่นอีกครั้งเดือนพฤศจิกายน หลังจากเปิดประเทศเมื่อเดือนที่แล้ว ท่ามกลางความหวังว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นดีขึ้นในปีหน้า
องค์การการท่องเที่ยวแห่งชาติญี่ปุ่นรายงานว่า เดือนที่แล้วมีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 934,500 คนแห่กันมาเที่ยวญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม มีนักท่องเที่ยวเพียง 17,766 คน กระทั่งเริ่มผ่อนคลายกฎระเบียบการควบคุมการเข้าเมืองเมื่อ
แม้จำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยยังต่ำกว่า 2.6 ล้านคน เมื่อเทียบกับเมื่อครั้งการท่องเที่ยวเฟื่องฟูสุดขีดในปี 2019 หรือ พ.ศ. 2562 แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ร้านค้าปลีกและร้านอาหารมีความหวังขึ้นในปีหน้า หลังจากตกต่ำอย่างหนักในช่วงการระบาดหนัก
ขณะที่นักท่องเที่ยวหวนกลับมาแล้ว แต่ญี่ปุ่นประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรในอุตสาหกรรมขนส่งและการท่องเที่ยวเพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลการสำรวจของบริษัทเทโกคุ ดาต้าแบงก์ เมื่อเดือนกันยายน พบว่าโรงแรมขนาดเล็ก รวมทั้งโรงแรมทั่วไปกว่าร้อยละ 60 มีพนักงานไม่เพียงพอ ทั้งพนักงานประจำและงานพาร์ตไทม์
เงินเยนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิดประกอบกับอัตราเงินเฟ้อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกลงสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าค่าโรงแรม อาหาร การเดินทาง และช็อป
ชุน ทานากะ นักวิเคราะห์จากบริษัทเอสบีไอ ซีเคียวริตี กล่าวว่าค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นซึ่งเป็นผลจากการตัดสินใจของธนาคารกลางญี่ปุ่นในการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร จะไม่มีผลต่อแนวโน้มการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวยังรู้สึกว่าข้าวของที่ญี่ปุ่นถูกกว่าอยู่ดี ดังนั้น ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นเศรษฐกิจไปสู่ระดับก่อนเกิดการระบาด
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี รายงานเมื่อเดือน พ.ย.ว่าความเสี่ยงอื่น ๆ ต่อการเดินทางทั่วโลกมีหลายปัจจัย รวมทั้งค่าพลังงาน ค่าสินค้า ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่ขาดแคลนแรงงานและช่องว่างทักษะ ซึ่งเกิดจากความคาดหวังของนายจ้าง สวนทางกับความสามารถของแรงงาน
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักเดินทางต้องคิดหนัก เพราะต้องคำนึงถึงงบประมาณครัวเรือนและการใช้จ่ายในการเดินทาง โออีซีดีจึงคาดว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 2025 หรือหลังจากนั้น
บริษัทท่องเที่ยวเจทีบีสำรวจพบว่าจะมีประชาชนประมาณ 21 ล้านคนเดินทางภายในประเทศในช่วงเทศกาลวันหยุด ระหว่าง 23 ธ.ค. 2022-3 ม.ค. 2023 ซึ่งฟื้นตัวร้อยละ 72 เมื่อเทียบกับปี 2019
ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังกลับมา แต่อาจได้รับผลกระทบบ้างจากโควิดที่ระบาดมากขึ้นและเงินเฟ้อ