หลังมีการระบาดอย่างรุนแรงของโรค COVID-19 ทำให้ต้องมีการปิดประเทศเพื่อจัดการและคลี่คลายสถานการณ์นี้ให้ดีขึ้นก่อน และในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วที่จะเที่ยวญี่ปุ่นกันได้อีกครั้ง หลังจากที่มีการประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมเที่ยวบินต่างๆ ก็จัดโปรกันกระหน่ำ ใครที่อยากไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมานานแล้ว และเป็นครั้งแรกด้วย ลองเอาเช็กลิสต์ที่เที่ยวเหล่านี้ไปใช้กันได้เลย
1.โตเกียว ทาวเวอร์
เริ่มต้นกันที่แลนด์มาร์กสำคัญของญี่ปุ่นชนิดที่ว่าใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่ได้มาที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึง โตเกียวทาวเวอร์ มีลักษณะเป็นหอคอยที่ใช้ประโยชน์ทางด้านการสื่อสารเป็นหลัก คือใช้เพื่อถ่ายทอดสัญญาณวิทยุและสัญญาณโทรทัศน์ ตั้งอยู่ในเมืองมินาโตะ กรุงโตเกียวเมืองหลวงของประเทศเลย สถานที่เที่ยวแห่งนี้มีผู้มาเยือนเยอะมากถึง 2.5 ล้านคนต่อปี ถึงแม้ว่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากหอไอเฟลในฝรั่งเศส แต่ก็ได้ผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นลงไปอย่างลงตัว ใครที่คิดว่าที่นี่ไม่น่าจะมีอะไร ไปถ่ายรูปไว้ลงโซเชียลไว้หน่อยก็ยังดี
2.พระราชวังอิมพีเรียล
ใครที่ชอบการท่องเที่ยวตามสถานที่ประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องไม่พลาดการไปเยือนพระราชวังอิมพีเรียลสักครั้ง ที่นี่มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “พระราชวังเอโดะ” ซึ่งแต่เดิมเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นในอดีต ถ้าหากจะเจาะให้ลึกขึ้น แต่เดิมที่ตรงนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แต่ด้วยทำเลที่ดีเลยกลายเป็นสถานที่ประชุมลับ เป็นฐานทัพ และกลายเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหารก่อนที่จะเข้าสู่ยุคเมจิ ที่มีการปฏิวัติการปกครองแบบโชกุนให้กลายมาเป็นระบบจักรพรรดิแทน และได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ตรงนี้ให้กลายเป็นพระราชวังแห่งนี้นี่เอง ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้จะไม่ได้เป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิแล้ว แต่ก็กลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังถูกเก็บไว้อย่างดี มีการเปิดให้คนนอกเข้าชมเป็นบางจุด และสามารถเข้าชมได้ทุกจุดเป็นบางวาระ ก็สามารถไปเยี่ยมชมและท่องเที่ยวภายในกันได้
3.ภูเขาฟูจิ
นอกจากโตเกียว ทาวเวอร์แล้ว ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับภูเขาไฟ หรือภูเขาฟูจิก็เท่ากับมาไม่ถึงญี่ปุ่นอีกเช่นกัน ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่สงและสวยที่สุดในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมาในฤดูกาลไหนก็มีความงามที่แตกต่างกันไป และถ้าหากวันไหนท้องฟ้าปลอดโปร่งมากๆ ก็สามารถมองเห็นได้จากเมืองโตเกียว และเมืองโยโกฮาม่าด้วย
ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ชอบเที่ยวสไตล์ธรรมชาติเท่าไร ก็สามารถเยี่ยมชมภูเขาลูกนี้ได้จากรถไฟฟ้าชินคันเซ็นสายที่เดินทางจากโตเกียวไปยังเมืองนาโกย่า หรือเมืองเกียวโต แต่ถ้าหากต้องการไปเดินเล่นที่ภูเขา ซึ่งมีอุทยานแห่งชาติและทะเลสาปหลายแห่งล้อมอยู่ ก็เดินทางเข้าไปโดยตรงได้เลย และถ้าหากใครสนใจอยากพิชิตยอดเขาฟูจิสักครั้ง ต้องเดินทางไปช่วงกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปีเท่านั้น และอาจจะต้องจองคิวล่วงหน้าด้วย
4.หมู่บ้านชิราคาวาโกะ
ถึงจะเห็นว่าเป็นแค่หมู่บ้าน แต่ที่เที่ยวญี่ปุ่นแห่งนี้ เป็นมรดกโลกอันดับที่ 6 ของประเทศญี่ปุ่นเลย เนื่องจากความเก่าแก่ของหมู่บ้านแห่งนี้ และการคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมที่ยังโดดเด่นด้วยการสร้างบ้านแบบใช้ฟางข้าวเป็นหลังคา บ้านแต่ละหลังมีอายุมากกว่า 250 ปีแล้ว แต่ยังมีสภาพดีและแข็งแรงมากๆ สามารถทนทานได้ทั้งลมฝนและหิมะที่ตกหนักๆ และถ้าหากดูโครงสร้างของบ้านก็จะพบว่ามีลักษณะเหมือนกันเลย คือบ้านทุกหลังไม่ได้ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว ส่วนหลังคาบ้านจะมีมุม 60 องศา แม้กระทั่งความยาวและความกว้างของตัวบ้านก็เท่ากันหมด ไม่ว่าจะไปเที่ยวชมฤดูกาลไหนก็จะสวยงามต่างกันไป แต่อยากแนะนำให้ลองไปเที่ยวช่วงหิมะตกดูสักครั้ง จะได้บรรยากาศเหมือนต่างประเทศเลย บ้านบางหลังของที่นี่เปิดเป็นที่พักแบบเกสต์เฮ้าส์ให้ลองไปใช้ชีวิตแบบธรรมชาติกันด้วยนะ
5.เมืองโอซาก้า
ใครที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น หรือดูหนังเกี่ยวกับญี่ปุ่น ต้องคุ้นเคยกับชื่อเมืองโอซาก้าเป็นอย่างดี และถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ก็ควรมาเยือนเมืองนี้กันสักวัน เพราะที่นี่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ขนาดอันดับ 3 ของญี่ปุ่นที่เป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมรวมถึงเศรษฐกิจต่างๆ ด้วย มีทั้งแหล่งช้อปปิ้ง เป็นที่ตั้งของสวนสนุก Universal Studio และยังมีปราสาทโอซาก้าให้ได้ไปเดินชมกัน ขอให้รายละเอียดเพิ่มอีกนิดว่า ปราสาทโอซาก้า เป็นปราสาทที่เคยมีขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และเคยเกี่ยวข้องกับโชกุนผู้โด่งดังอย่างโทโยโตมิ ฮิเดโยชิด้วย เมื่อชมปราสาทเสร็จแล้วก็มีร้านอาหารอร่อยๆ ในราคาไม่แพงให้เลือกกินเพียบ
Go To Japen บินไป เที่ยวญี่ปุ่น สุดฟิน กับ สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น โลเคชั่น ที่ทุกคนต้องฟินนนน! ที่เที่ยวในญี่ปุ่น แต่ละเมืองฟุกุโอกะที่เที่ยวที่มีบรรยากาศและมุมถ่ายรูปสุดปัง และวันนี้แอดมินคนเดิม ของ หรอยจัง จะพาทุกคนไป รีวิว ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่มีความหลากหลายมากๆ เพราะญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้ค้าสินค้าชั้นนำของโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ตั้งใจบินไปช็อปปิ้ง กันนโดยเฉพาะเลยล่ะค่ะ ซึ่ง ได้ทั้งเที่ยว กิน และพักผ่อนไปในตัว ไม่ผิดหวังแน่นอนกับ ทริป Japan ที่มาแล้วจะต้องเพลิดเพลิน ย่านช็อป ย่านกิน ย่านเที่ยว โอ้โห้ฟินไม่ไหวคร้า!!! แหล่งท่องเที่ยวที่ที่เที่ยวโตเกียวองค์กรณ์ยูเนสโก้ ต้องยกให้เป็นมรดกของโลกหลายแห่งในย่าน สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น หลายแห่งเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ปราสาทฮิเมจิ,ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ,วัดคินคะคุจิและ ที่อื่นๆ ที่แอดยกมาไว้ในด้านล่างนี้ บอกเลยว่าทุกคนจะต้องประทับใจ รีบหาคิวลางานมาด่วนๆ เลยจ้า!!!
ปราสาทฮิเมจิ
ปราสาทฮิเมจิ เป็น สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่ควรค่ามากๆ เป็นสถานที่ของ สมบัติของชาติ ญี่ปุ่นที่มีความเก่าแก่มากถึง 600 ปี แหล่งมรดกที่สวยงามของโลก ป้อมปราการ ที่ยังคงสภาพ ความสวยงาม ไว้ในที่นี่ ที่เที่ยวญี่ปุ่น เป็นแหล่งท่องเที่ยวแนวประวัติศาสตร์ดั้งเดิม ของเมืองญี่ปุ่น ที่งดงามมากๆ
ภายนอกเต็มไปด้วยต้นซากุระ ที่เบ่งบานสวยงาม ในช่วงของ ฤดูใบไม้ผลิ ที่มีบรรยากาศที่สวยงามดุจภาพวาดเลยล่ะค่ะ ในบางโซนเพื่อนๆ สามารถเข้ามาชมได้ฟรี มีเพียงด้านในปราสาทเท่านั้น ที่จะต้องซื้อตั๋วเข้าไปค่ะ ซึ่ง เที่ยวญี่ปุ่น จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด กับมุมนี้ของ ปราสาทฮิเมจิ ที่สวยงามตราตรึงมากๆ เลยล่ะคร้า!!!
ป่าไผ่ เกียวโต Bamboo Forest
ป่าไผ่ เกียวโต Bamboo Forest สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่เป็น ที่เที่ยวญี่ปุ่น ยอดฮิตเลยล่ะคร้า!! เป็นสวนไผ่ ที่มีทางเดินระหว่างกลาง ทำให้เห็นทัศนีย์ภาพ ของร่องไม้ไผ่ ยาวสูง เรียงตัวกันเป็นแนวยาว สวยงามมากๆ จุดถ่ายรูปสุด Unseen ของ ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่ปังมากๆ
ซึ่งในระหว่างเส้นทางเดินนั้น ก็จะผ่านศาลเจ้า Nonomiya Jinja ที่มีบรรยากาศของนักท่องเที่ยว ที่คับคลั่ง บางคนแต่งกายมาในชุดกิโมโน ซึ่งทำให้ที่นี่ มีบรรยากาศที่ฟลุ้งไปด้วยอารยธรรม ที่เก่าแก่ ของญี่ปุ่น ให้เราได้เห็นกัน เป็นอะไรที่ดีงาม และ ดีตีอใจมากๆ เลยล่ะคร้า!!!
ภูเขาไฟฟูจิ
เที่ยวญี่ปุ่น ต้องมาชม ภูเขาไฟฟูจิ ไม่อย่างนั้นถือว่ามาไม่ถึงนะคะทุกคนนน!! เพราะความสวยงามของยอดภูเขาที่มีความสูงที่สุดใน ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่เต็มปด้วยธรรมชาติที่ออยู่โดยรออบ มีทะเลสาบทั้ง 5 ที่มีความงดงามที่น่าทึ่งมากๆ ซึ่งในช่วงเดือนกรกฏาคม ถึง สิงหาคม จะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาทำกิจกรรมที่บนยอด เขาฟูจิ กิจกรรมปีนเขาไต่เขา ที่นักท่องเที่ยวบางกลุ่มให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เป็นยอดเขาที่นับว่าสวยงามและสง่ามากๆ เลยล่ะคร้า!!!
จุดชมวิว ชูเรโต
จุดชมวิว ชูเรโต หรือ เจดีย์ชูเรโตะ Chureito Pagoda เจดีย์ญี่ปุ่นสีแดงสง่า ความสูง 5 ชั้น ตั้งเด่นบนวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ ที่ฉากหลังมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ เด่นชัดสวยงาม อาคารเรือนไม้เก่าแก่ ที่มีสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ที่โดดเด่น ท่ามกลางดอกซากุระที่สวยงาม
ในช่วงของฤดูใบไม้ผลินั้น เพื่อนๆ จะได้ดื่มด่ำไปกับ ความสวยงามของ สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น แห่งนี้!! ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้ทะเลสาบยามานากะโกะ (Lake Yamanakako) ที่มีมุมถ่ายเซลฟี่ที่ปังมากๆ เที่ยวญี่ปุ่น อวดภาพสวยๆ กันที่นี่!! ไม่มีผิดหวังแน่นอนคร้า!!!
สะพานแขวนแห่งความฝัน หุบเขาสุมาตะ
สะพานแขวนแห่งความฝัน Yume no Tsuribashi หรือ สะพานสุมาตะเคียว Sumatakyou แลนด์มาร์คของ ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่มีความสวยงาม สะพานสูงทอดยาว ระยะทางกว่า 9 เมตร ในหุบเขา สุมาตะเคียว Sumatakyou เขตคาวาเนะฮงของจังหวัดชิซุโอะกะ Shizuokaข้ามผ่านทะเลสาบสีฟ้าใส เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ ญี่ปุ่น ที่มีความอุดมสมบูรณ์ สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่ได่วิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ เซลฟี่ออกมาได้ปังทุกมุมเลยล่ะคร้า!!!
ปราสาทฮิเมะจิ
ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด
ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น
อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้ บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน
วัดโทไดจิ
วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญ ของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือ วิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)
ฮอกไกโด
ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของ ญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม
โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็น เมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้
เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส
โอซาก้า
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น
เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan
แต่ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร “คุอุดะโอะเระ” ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยาก
ปราสาทฮิเมะจิ
10 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่น
ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด
ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น
อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน
วัดโทไดจิ
วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือวิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)
ฮอกไกโด
ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม
โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็นเมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้
เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส
นึกถึงประเทศญี่ปุ่น ก็มักจะมีความหลากหลายทั้งเรื่องสถานที่เที่ยว ธรรมชาติ และอาหารที่มีหลายรูปแบบ อีกทั้งยังสามารถไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปีไม่มีเบื่อ คงหนีไม่พ้น “ญี่ปุ่น” กลายเป็นสวรรค์ของนักเที่ยวจากหลายมุมโลก เชื่อเลยว่านักเดินทั้งหลายต้องมาเที่ยวไม่ต่ำกว่า 3-5 ครั้ง อย่างแน่นอน วันนี้เราได้รวบรวม 7 พิกัดทีห้ามพลาดเมื่อมา เที่ยวญี่ปุ่น มาฝากรับรองเลยว่าไม่ว่าจะไปกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ แถมฟินๆกันไปเลย
Shibuya Crossing (Tokyo) : ห้าแยกชิบุยะ
หนึ่งในหนึ่งมุมสวยที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงแต่แสดงถึงวิถีชีวิตของคนโตเกียวได้ดีสุด ๆ ก็คือบริเวณห้าแยกแห่งถนนชิบุยะใจกลางกรุงโตเกียวแห่งนี้ ที่หากได้ขึ้นไปถ่ายรูปบนมุมสูงของห้าแยกนี้จะสามารถเก็บภาพสีสันของผู้คนในเมืองโตเกียวและถ่ายภาพช็อตความวุ่นวายในเมืองนี้ได้อย่างสวยงาม แถมการเก็บภาพขณะยืนอยู่กลางห้าแยกนี้ยังเป็นมุมถ่ายภาพสุดท้ายทายของเหล่านักท่องเที่ยว ซึ่งในย่านชิบุยะแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอันเป็นแลนด์มาร์กของการช้อปปิ้งในโตเกียวและยังเป็นย่านที่มีรูปปั้นสุนัขผู้ซื่อสัตย์อย่างเจ้าฮาจิโกะที่บริเวณหน้าสถานีรถไฟชิบุยะด้วย Shibuya Crossing (Tokyo)
Kinkakuji (Kyoto) : วัดทองคินคะคุจิ
วัดทองคินคาคุจิเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสุดงดงามที่หลายคนมักจะวางแพลนเอาไว้หากจะเที่ยวในเมืองเกียวโต เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามอันสวยงาม ที่วัดแห่งนี้มีความโดดเด่นและเป็นมุมสวยน่าประทับนั้นเป็นเพราะสีทองอันโดดเด่นของทั้งตัววัดที่เปล่งประกายอยู่ท่ามกลางสีเขียวของป่าไม้ บวกกับภาพสะท้อนตัววัดอันงดงามบริเวณน้ำเบื้องล่าง อันเป็นทิวทัศน์สุดงดงาม ยิ่งถ้าเป็นช่วงที่ใบไม้เริ่มร่วงโรยราอย่างในฤดูใบไม้ร่วงด้วยแล้วล่ะก็ สีแดง ส้มและเหลืองของใบไม้ทั้งหลายก็ช่วยทำให้วัดมีความงดงามไปอีกแบบ Kinkakuji (Kyoto)
พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีก หนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน
ซึ่ง ภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ
2. โตเกียว ทาวเวอร์
โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอย สื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของ โลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย
3. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ
ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า “กัสโช” หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการ ใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
4. ภูเขาฟูจิ
ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงที่ภูเขาฟูจิเปิดอย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปปีน
5.ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ
เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่ง ท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่ สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม
ปัจจุบันการท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั้นง่ายแสนง่าย ทั้งตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกลง การยกเว้นวีซ่าสำหรับการท่องเที่ยวไม่เกิน 15 วัน อีกทั้งญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ปลอดภัย มีการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม จนเรียกได้ว่าใครๆ ก็สามารถเที่ยวญี่ปุ่นได้ ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมารองรับมากมาย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผู้เดินทางจำเป็นต้องเตรียมตัวด้วยตนเองซึ่งก็คือเรื่อง ‘เงิน’ นั่นเอง หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เราก็มี…วิธีการตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่นง่ายๆ โดยกลยุทธ์คำนวณค่าใช้จ่ายด้วยเลข 0 …มาฝากค่ะ
วิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่น
ขั้นตอนที่ 1: วางแผนการท่องเที่ยว
อย่างแรกเลยเราควรวางแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ ก่อนค่ะ เพื่อที่จะได้เริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายได้ถูก โดยมีหัวข้อที่ต้องคำนึงถึงดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณค่าใช้จ่ายตัวเลขด้วยเลข 0
การคำนวณงบประมาณเป็นอีกเรื่องที่หลายคนถกเถียงกันว่าควรตั้งเป็นเงินบาทหรือเงินเยน ที่จริงแล้วก็มีข้อดีแตกต่างกันไปค่ะ หากคำนวณด้วยเงินบาท เราจะประเมินได้ว่าถูกหรือแพงและรู้ตัวเลขเงินบาทในทุกรายละเอียด แต่การคำนวณด้วยเงินเยนจะสะดวกกว่า เนื่องจากว่าไม่ต้องนั่งคำนวณเป็นเงินบาททุกอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เราจะก็ใช้เงินกันในญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดจึงมาในรูปแบบเงินเยน
ในการคำนวณนั้น เราเพียงแค่รวบรวมค่าใช้จ่ายในญี่ปุ่นทั้งหมดแล้วคำนวณเป็นเงินบาทภายในครั้งเดียวแล้วมาบวกกับค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ (เราใช้วิธีนี้ตลอดค่ะ) รวมถึงการนำหลักการคำนวณด้วยเลข ‘0’ มาใช้ ซึ่งจะปัดเศษให้สูงขึ้นเป็นเลขกลมๆ เพื่อสะดวกต่อการคำนวณและเป็นการเผื่องบไม่ให้ขาดด้วยค่ะ โดยจะปัดเศษที่หลักร้อยหรือหลักพันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของเพื่อนๆ เลยค่ะ ซึ่งเราจะขอแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 6 ส่วนดังนี้
JR Rail Pass (7 Days) 29,110 เยน (ตีเป็น 30,000 เยน) ⇒ 9,000 บาท/คน
Tokyo Wide Pass (3 Days) 10,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คน
Tokyo Subway Ticket (24 Hours) 800 เยน (ตีเป็น 1,000 เยน) ⇒ 300 บาท/คน
Osaka Amazing Pass (1 Day) 2,500 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท/คน
วันที่ไม่ใช้พาส/ไปนอกเหนือเส้นทางพาส 1,000 – 2,000 เยน ⇒ 300 – 600 บาท/วัน/คน
ขับรถเที่ยว ค่าเช่ารถ+ประกันภัย (รถนั่ง 4 คน) เริ่มต้นวันละ 12,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คัน
※สามารถใช้เว็บไซต์ Hyperdia.com เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารรถไฟ หรือ Google Map เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารในเส้นทางได้ค่ะ
โฮสเทล (ห้องรวม)/โรงแรมแคปซูล 3,000 เยน ⇒ 900 บาท/คืน/คน
โรงแรมธุรกิจแบบตะวันตก (3 ดาว) ห้อง 2 คน 3,000 – 5,000 เยน ⇒ 900 – 1,500 บาท/คืน/คน
โรงแรมห้องญี่ปุ่น (เรียวกัง) 10,000 เยน ⇒ 3,000 บาท/คืน/คน
โรงแรม/รีสอร์ทขนาดใหญ่ 10,000 – 15,000 เยน ⇒ 3,000 – 4,500 บาท/คืน/คน
※สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ » รูปแบบโรงแรมที่พักในญี่ปุ่น
Universal Studios Japan (USJ) 7,900 เยน (ตีเป็น 8,000 เยน) ⇒ 2,400 บาท
Tokyo Disneyland/Tokyo DisneySea 7,400 เยน (ตีเป็น 8,000 เยน) ⇒ 2,400 บาท
Tokyo Skytree (TEMBO DECK) 2,060 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท
Osaka Aquarium KAIYUKAN 2,300 เยน (ตีเป็น 3,000 เยน) ⇒ 900 บาท
Osaka Castle 600 เยน (ตีเป็น 1,000 เยน) ⇒ 300 บาท
Kiyomizu Temple 400 เยน (ตีเป็น 500 เยน) ⇒ 150 บาท
ขนมของฝากในสนามบิน ประมาณ 1,000 – 2,000 เยน ⇒ 300 – 600 บาท/กล่อง
ขนมทั่วไป เช่น ช็อคโกแลต ประมาณ 100 – 500 เยน ⇒ 30 – 150 บาท/กล่อง,ถุง
กระเป๋าเป้ทรงยอดฮิต ประมาณ 5,000 – 6,000 เยน ⇒ 1,500 – 1,800 บาท/ใบ
รองเท้าผ้าใบลำลอง ประมาณ 10,000 – 15,000 เยน ⇒ 3,000 – 4,500 บาท/คู่
เครื่องสำอางในร้านขายยา ประมาณ 1,000 – 3,000 เยน ⇒ 300 – 900 บาท/ชิ้น
※ร้าน Duty Free (หลังจากที่ผ่านต.ม.แล้ว) จะไม่มีภาษี แต่ร้านที่อยู่ด้านนอกในสนามบินจะมีภาษี 8% นะคะ แนะนำว่าให้อดใจเข้าไปช็อปด้านในจะดีกว่า นอกจากว่าจะเป็นร้านที่มีสิทธิ์ Tax Free ซึ่งซื้อครบ 5,000 เยน ⇒ 1,500 บาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีค่ะ
※สำหรับห้างสรรพสินและร้านค้าในเมือง ก็มีร้านที่เป็น Tax Free เช่นกันค่ะ โดยจะมีแปะป้ายไว้หน้าร้านเลย
※สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ » ไปญี่ปุ่นซื้ออะไรดี?…21 ไอเดียของฝากน่าซื้อจากญี่ปุ่น ของยอดฮิตที่ห้ามพลาด!
ป่าไผ่ซากะโนะ สูงตระหง่านตั้งอยู่ในเขตอาราชิยามะ เมืองเกียวโต ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนนิยมไปเที่ยวมากที่สุดค่ะ ใช้เวลาเพียง 30 นาทีจากสถานี JR เกียวโตเท่านั้น
ที่นี่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมากันเนืองแน่นทุกฤดูกาลเลยค่ะ ช่วงพีคสุดของที่นี่ คือ ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ประมาณปลายเดือน ตค – พย. (แนะนำให้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนมาอีกทีนะคะ)
เมื่อมาถึงที่ป่าไผ่ซากะโนะแล้ว หมวยแนะนำว่าไม่ควรพลาดที่จะไปเที่ยว สะพานข้ามจันทร์ (Togetsukyo Bridge) วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) นั่งรถไฟสายโรแมนติก (Saga Scenic Railway) แวะไปชมวิธีการจับปลาด้วยวิธีดั้งเดิม Cormorant Fishing (Ukai) และการล่องเรือในแม่น้ำ Hozu River Boat Tour เพื่อสัมผัสความงามของธรรมชาติด้วยนะคะ
Baby Blue Eyes In Japan’s Hitachi Seaside Park
ยังคงอยู่ที่ Hitachi Seaside Park นะคะ ที่นี่เป็นสถานที่ ที่มีสิ่งน่าสนใจเยอะเชียวค่ะ ที่สวนแห่งนี้จะมีทุ่ง Nemophila อันเลื่องชื่อ เป็นทุ่งดอกไม้สีฟ้าอ่อนสวยไปทั้งเนินเขาเลยค่ะ เหมาะแก่การมาเที่ยวถ่ายรูปมากๆ เลยค่า
มี 2 ช่วงเวลาที่แนะนำในการไปชมทุ่ง Nemophila ได้แก่ “เดือนกันยายน” ซึ่งเป็นช่วงดอกไม้เบ่งบานเต็มที่ สวยและดีที่สุดค่ะ รองลงมาจะเป็นช่วง “เดือนเมษายน และพฤษภาคม”
อุโมงค์ดอก Wisteria ที่สวนคาวาชิ ฟูจิ
เพื่อนๆ เคยดูละครช่อง 3 ที่พี่เบิร์ดเล่นคู่กับชมพู่อารยาไหมค่ะ? อุโมงค์ดอกไม้สีม่วงสลับขาวในละครนั้นมีอยู่จริงค่ะ และคงจะโรแมนติกมากๆ ถ้าได้เดินจูงมือคนรักลอดผ่านซุ้มอุโมงค์ดอก Wisteria สวยๆ เหล่านี้
อุโมงค์นี้ตั้งอยู่ตอนเหนือของเกาะคิวชู ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงจากเมืองฟุกุโอกะ ช่วงเวลาที่ดอกไม้จะสวยและเบ่งบานเต็มที่คือปลายเดือนเมษายนนะคะ
ทุ่งสีชมพู ทุ่งดอกชิบะซากุระ (Fields Of Shibazakura)
เทศกาลชมดอกชิบะซากุระ ที่ภูเขาไฟฟูจิถือเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ประจำปีในพื้นที่ทะเลสาบฟูจิทั้ง 5 ซึ่งจะมีดอกชิบะซากุระพร้อมใจกันบานมากกว่า 800,000 ดอกเลยค่ะ มีทั้งสีชมพู ขาว และม่วง
ช่วงเวลาที่จะเปิดให้เข้าชมจะสัมพันธ์กับสภาพอากาศนะคะ โดยมากจะจัดขึ้นระหว่าง “เดือนเมษายนและมิถุนายน” ช่วงเวลาที่เหมาะในการชมดอกไม้ที่สุด คือ ตั้งแต่เช้าตรู่ค่ะ ถ้าฟ้าเคลียร์ๆ เราจะได้ชมทุ่งดอกไม้สวยๆ โดยมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังด้วยค่ะ
นอกจากชมดอกไม้แล้ว ยังสามารถเข้างาน “เทศกาลอาหารอร่อยภูเขาไฟฟูจิ” ซึ่งมีร้านอาหารท้องถิ่นรสเด็ดมาออกร้านกันอย่างมากมาย ร้านดังที่มักมาร่วมออกงานก็เช่น Fujiyoshida โยชิดะอุด้ง (ก๋วยเตี๋ยว), Fujinomiya Yakisoba (ก๋วยเตี๋ยวผัด) เป็นต้น
สถานที่ตั้งอยู่ประมาณ 3 กม. จากทะเลสาบ Motosu ไป Fujinomiya อยู่ข้างของเส้นทาง 139 แต่ไม่ได้อยู่ที่ ริมทะเลสาบ Motosu นะคะ
แม่น้ำคาวาโกเอะ (River In Kawagoe)
ภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ แห่งนี้อยู่ที่เมือง Kawagoe เป็นเมืองเก่าที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น Little Edo ตั้งอยู่ในจังหวัดไซตามะ ห่างจากเมืองโตเกียวเพียง 30 นาทีเท่านั้น สามารถไปกลับเพียงวันเดียวได้สบายเลยค่ะ
เหตุที่เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Little Edo” หรือเมืองย้อนยุคสมัยเอโดะ เนื่องจากที่นี่เค้าพยายามรักษาบรรยากาศของบ้านเมืองเอาไว้ให้เหมือนสมัยเอโดะค่ะ
หลังละล้าละลังอยู่นาน ในที่สุดญี่ปุ่นก็เปิดประเทศอย่างเต็มตัว!
เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์หลังเข้าร่วมการอภิปรายทั่วไปประจำปีของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติว่า ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคมเป็นต้นไป ญี่ปุ่นจะยกเลิกการจำกัดจำนวนนักเดินทาง พร้อมทั้งเปิดฟรีวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวบางประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของการผ่อนคลายมาตรการควบคุมชายแดนจากโควิด
คิชิดะยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลจะผ่อนปรนมาตรการควบคุมชายแดนเพิ่มเติม เพื่อให้ขั้นตอนการเข้าประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนกับประเทศในกลุ่ม 7 ประเทศ ทั้งยังจะเริ่มโครงการเงินอุดหนุนทั่วประเทศอีกครั้งในกำหนดวันเดียวกัน ‘Go to Travel’ จะเป็นโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินจำนวน 11,000 เยน แก่นักท่องเที่ยวสำหรับการเข้าพักในโรงแรมต่อคนต่อคืน
ญี่ปุ่นตั้งเป้าฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับขึ้นมาเป็นอับดับ 3 ของโลกอีกครั้ง หลังได้รับผลกระทบหนักจากการขาดการท่องเที่ยวในช่วงการระบาดของโควิด
ในปี 2019 ก่อนการระบาดใหญ่ ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวมาเยือนทั่วโลกปีละ 31.9 ล้านคน คิดเป็น 2 ล้านคนต่อเดือน องค์การการท่องเที่ยวญี่ปุ่นระบุว่า ตัวเลขรายเดือนสำหรับเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 169,800 คนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี นักเดินทางที่มีแผนเดินทางไปญี่ปุ่นหลังวันนี้ 11 ตุลาคมเป็นต้นไป กรุณาศึกษาเงื่อนไขให้ละเอียดถี่ถ้วนสำหรับการเข้าร่วมโครงการ Go to Travel
[Advertorial]
ปัจจุบันการท่องเที่ยวญี่ปุ่นนั้นง่ายแสนง่าย ทั้งตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกลง การยกเว้นวีซ่าสำหรับการท่องเที่ยวไม่เกิน 15 วัน อีกทั้งญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่ปลอดภัย มีการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุม จนเรียกได้ว่าใครๆ ก็สามารถเที่ยวญี่ปุ่นได้ ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมารองรับมากมาย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผู้เดินทางจำเป็นต้องเตรียมตัวด้วยตนเองซึ่งก็คือเรื่อง ‘เงิน’ นั่นเอง หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เราก็มี…วิธีการตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่นง่ายๆ โดยกลยุทธ์คำนวณค่าใช้จ่ายด้วยเลข 0 …มาฝากค่ะสารบัญเนื้อหาซ่อนวิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่นขั้นตอนที่ 1: วางแผนการท่องเที่ยวขั้นตอนที่ 2: คำนวณค่าใช้จ่ายตัวเลขด้วยเลข 0การเตรียมงบสำหรับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นส่วนที่ 1: ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายแน่นอนส่วนที่ 2: ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายรายวันส่วนที่ 3: ส่วนที่เป็นค่าช้อปปิ้งตัวอย่างการตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่น 5 วัน
อย่างแรกเลยเราควรวางแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ ก่อนค่ะ เพื่อที่จะได้เริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายได้ถูก โดยมีหัวข้อที่ต้องคำนึงถึงดังต่อไปนี้
เพื่อให้ทราบว่ามีสถานที่ใดที่ควรจะไปเยือนบ้าง เพราะในแต่ละฤดูก็มีไฮไลท์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ช่วง High Season อย่าง ซากุระ ใบไม้ร่วง หรือปีใหม่ ค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่พักก็จะแพงกว่าปกติค่ะ
เพื่อให้สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายรายวัน อย่างพวกค่าอาหาร ค่าโรงแรมที่พัก รวมถึงค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งทริป
เพื่อกำหนดค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งตั๋วเครื่องบินจากไทย การเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่น ตลอดจนค่าโรงแรมที่พัก และค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ
การคำนวณงบประมาณเป็นอีกเรื่องที่หลายคนถกเถียงกันว่าควรตั้งเป็นเงินบาทหรือเงินเยน ที่จริงแล้วก็มีข้อดีแตกต่างกันไปค่ะ หากคำนวณด้วยเงินบาท เราจะประเมินได้ว่าถูกหรือแพงและรู้ตัวเลขเงินบาทในทุกรายละเอียด แต่การคำนวณด้วยเงินเยนจะสะดวกกว่า เนื่องจากว่าไม่ต้องนั่งคำนวณเป็นเงินบาททุกอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เราจะก็ใช้เงินกันในญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดจึงมาในรูปแบบเงินเยน
ในการคำนวณนั้น เราเพียงแค่รวบรวมค่าใช้จ่ายในญี่ปุ่นทั้งหมดแล้วคำนวณเป็นเงินบาทภายในครั้งเดียวแล้วมาบวกกับค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ (เราใช้วิธีนี้ตลอดค่ะ) รวมถึงการนำหลักการคำนวณด้วยเลข ‘0’ มาใช้ ซึ่งจะปัดเศษให้สูงขึ้นเป็นเลขกลมๆ เพื่อสะดวกต่อการคำนวณและเป็นการเผื่องบไม่ให้ขาดด้วยค่ะ โดยจะปัดเศษที่หลักร้อยหรือหลักพันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของเพื่อนๆ เลยค่ะ ซึ่งเราจะขอแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็น 6 ส่วนดังนี้
※หมายเหตุ : เรทค่าเงิน 100 เยน = 30 บาท
※สายการบินจากไทยไปญี่ปุ่นนั้นมีให้เลือกหลายสายการบิน นอกจากนี้สายการบิน Full Service ก็ยังแบ่งได้ว่าเป็นบินตรงและแบบแวะพัก ซึ่งสามารถดูรายชื่อสายการบินและเส้นทางคร่าวๆ ได้ที่ » แนะนำเส้นทางบินไปญี่ปุ่น & สายการบินไปญี่ปุ่น
คำนวณค่าโดยสารรถไฟรวมถึงพาส (บัตรเหมา) หรือรถบัสสำหรับการเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเราจะรู้ได้ว่าควรจะใช้พาสไหน ก็ต้องวางแผนการท่องเที่ยวคร่าวๆ มาก่อนนะคะ เบื้องต้นขอยกตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการเดินทางดังนี้
※สามารถใช้เว็บไซต์ Hyperdia.com เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารรถไฟ หรือ Google Map เพื่อตรวจสอบค่าโดยสารในเส้นทางได้ค่ะ
โรงแรมและที่พักในญี่ปุ่นมีหลายราคาหลายระดับ คนที่เน้นประหยัดก็แนะนำให้พักที่โฮสเทลหรือโรงแรมแคปซูล ส่วนคนที่อยากได้ความเป็นส่วนตัวและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบก็แนะนำเป็นโรงแรมธุรกิจแบบตะวันตกค่ะ
※สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ » รูปแบบโรงแรมที่พักในญี่ปุ่น
※กรณีที่จะรับประทานมื้อใหญ่ หรือจัดเลี้ยงในกลุ่ม อาทิ ร้านเนื้อย่าง ร้านซูชิอย่างดี อิซากายะ (ร้านเหล้า) บุฟเฟ่ต์ที่ราคาสูงควรเตรียมเงินไว้ต่างหาก โดยสามารถดูราคาอาหารโดยเฉลี่ยของแต่ละประเภทได้ที่ » ค่าครองชีพด้านอาหารการกินในประเทศญี่ปุ่นแบบละเอียดสำหรับตั้งงบเที่ยว โดยเฉลี่ยราคาประมาณ 5,000 – 6,000 เยน ⇒ 1,500 – 2,000 บาท/มื้อ/คน
ค่าเข้าชมหลักๆ จะไปหนักอยู่ที่ค่าเข้าสวนสนุกค่ะ รองลงมาก็เป็นพวกพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สามารถเที่ยวได้ทั้งวัน รวมถึงจุดชมวิวบนหอคอยหรือตึกสูง ส่วนค่าเข้าชมวัด ศาลเจ้าและปราสาทก็จะอยู่ที่ละไม่เกิน 1,000 เยน ⇒ 300 บาทค่ะ
ค่าใช้จ่ายสำหรับการช้อปปิ้งนั้นขึ้นอยู่กับกิเลสของแต่ละคนเลยค่ะ ในที่นี้เราจะขอยกราคาคร่าวๆ ของสินค้าที่นักท่องเที่ยวชอบซื้อเพื่อประกอบการตัดสินใจนะคะ